“ชุดสูท” คือเครื่องแต่งกายสากลที่ไม่ใช่มรดกของชนชาติไทยมาตั้งแต่เดิม จึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติหากผู้ชายไทยจะไม่มีความรู้ความชำนาญ (หรือบางคนอาจไม่แม้แต่จะใส่ใจ) ว่าจะ ใส่สูท อย่างไรให้ดูดี แต่หากคุณผู้อ่านเป็นผู้ชายที่ต้องการศึกษาเรื่องการสวมใส่ชุดสูทให้ถูกต้องและเหมาะสม เรามั่นใจว่าบทความนี้ของ MenDetails จะช่วย “ปูพื้นฐาน” ทั้งหมดที่ผู้ชายจำเป็นต้องรู้ เพื่อสวมใส่เครื่องแต่งกายที่ “เซ็กซี่ที่สุด” ในสายตาของฝ่ายหญิงชุดนี้ให้ดูดียิ่งขึ้นกว่าเดิม
1. รูปร่างหน้าตาของสูท
ไม่ว่าเราจะดูรูปผ่านการค้นหาด้วย Google, Pinterest หรือ Instagram และเห็นรูปร่างหน้าตาของสูทมามากแค่ไหนก็ตาม แต่สุดท้ายเราสามารถแบ่งหน้าตาของสูทออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ได้แก่
1.Single Breasted Suit คือ ชุดสูทแบบที่มีกระดุมแถวเดียว เมื่อกลัดกระดุมเราจะเห็นเม็ดกระดุมเรียงอยู่ตรงกลางลำตัว จะมีกระดุม 1 เม็ด หรือกระดุม 4 เม็ดก็ตาม หากเรียงแถวเดียวตรงกลางลำตัว เราก็จะเรียกว่า Single Breasted (ซิงเกิ้ล เบร๊สเท็ด) ทั้งสิ้น
2.Double Breasted Suit คือ ชุดสูทแบบที่มีกระดุมสองแถว เมื่อกลัดกระดุมเราจะเห็นปกเสื้อสูทไขว้ทับกันด้านหน้าและเห็นแนวกระดุมเรียงตัวกันเป็นสองแถว จะมีกระดุม 2 เม็ดหรือกระดุม 8 เม็ด หากเรียงกันลงมาเป็น 2 แถว เราก็จะเรียกว่า Double Breasted (ดับเบิ้ล เบร๊สเท็ด) ทั้งสิ้น
เบื้องต้นหากเรากำลังมองหาชุดสูทชุดแรก (หรือสำหรับบางคนอาจเป็นชุดเดียว) MenDetails แนะนำให้เลือก เป็น Single Breasted Suit อย่างเช่น ชุดนี้จาก Sartoria Raffaniello หรือ อีกชุดจาก Openweaves เนื่องด้วยความเรียบง่ายและการใช้งานที่หลากหลายกว่า จนกระทั่งเราเริ่มมีความชำนาญและอยากได้ชุดสูทที่พิเศษมากขึ้น จึงค่อยขยับไปหา Double Breasted Suit อย่างชุดนี้จาก The Sartisan ก็ยังไม่สายครับ
-Double Breasted Suit จาก The Sartisan โดย The Decorum Bangkok-
2. โครงสร้างของสูท
คำว่าโครงสร้างของสูทสำหรับเราแล้วหมายถึง “ไส้ใน” ของเสื้อสูทแต่ละตัว ซึ่งโดยหลักการแล้วจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ได้แก่
1. สูทแปะกาว (Fully-Fusing) เป็นโครงสร้างเสื้อสูทที่ทำได้ง่ายที่สุด, เร็วที่สุด และประหยัดเงินที่สุด จึงพบเห็นได้บ่อยที่สุดในร้านสูทที่เน้นขายในราคาประหยัดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่มีข้อเสียเรื่องใส่แล้ว “ร้อน” เพราะชั้นกาวที่อยู่ด้านในทำให้เสื้อสูทหนาทึบ และไม่ระบายอากาศ นอกจากนี้เสื้อสูทแบบทากาวจะมีน้ำหนักที่มากและค่อนข้างแข็งทื่อไม่โอบรับร่างกายของผู้สวมใส่ได้ดีนัก อีกจุดคือเรื่องของความทนทานในการใช้งานที่ต่ำกว่า เพราะเมื่อกาวเสื่อมสภาพเสื้อสูทก็จะเกิดอาการพองเป็นฟองอากาศเล็ก ๆ ดูคล้ายตุ่มพุพองทั่วตัวเลยทีเดียว
2. สูทแคนวาส (Canvassing) เป็นโครงสร้างเสื้อสูทที่จะใช้ “แคนวาส” ซึ่งเป็นวัสดุคล้ายผ้า ทอจากวัตถุดิบที่หลากหลาย เช่น หางม้า หางอูฐ ฯลฯ ช่างตัดเสื้อสูทจะนำ “แคนวาส” มาสอดไว้ด้านในเสื้อสูทแล้วทำการเย็บแคนวาสติดกับตัวเสื้อแบบหลวม ๆ โดยไม่ใช้กาวแปะ ข้อดีคือแก้ไขปัญหาของสูทแปะกาวทุกอย่าง ทั้งระบายอากาศดีกว่า ทนทานกว่า เบากว่า และยืดหยุ่นโอบรับกับหุ่นของผู้สวมใส่ได้ดีกว่า เข้าทำนองว่า “ยิ่งใส่ยิ่งสวย” แต่ข้อเสียคือใช้เวลาตัดเย็บที่นานกว่า ต้องอาศัยความชำนาญสูง และในเรื่องของ “ราคา” ที่จะสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
-ภาพเปรียบเทียบ Half Canvas และ Full Canvas โดย Oliverwicks.com-
สูทแคนวาสมักจะแบ่งออกเป็นประเภทย่อยได้อีก 2 ประเภท ได้แก่ สูทแคนวาสครึ่งตัว (Half-Canvas) ซึ่งจะเย็บชั้นแคนวาสตั้งแต่บริเวณบ่าลงมาจนถึงแค่ช่วงกลางลำตัว และจะใช้วิธีแปะกาวตั้งแต่กลางลำตัวลงมาถึงชายเสื้อสูทด้านล่าง กับอีกแบบคือ สูทแคนวาสเต็มตัว (Full-Canvas) ซึ่งมีความหมายตามชื่อคือเย็บชั้นแคนวาสแบบเต็มตัวตั้งแต่บริเวณบ่ายาวตลอดลงมาถึงชายเสื้อเลย
3. สูทไร้โครงสร้าง (Unconstructing) ตรงตามชื่อคือสูทประเภทนี้ ไม่มีโครงสร้างใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่มีการแปะกาว, ไม่เย็บแคนวาส แต่จะอาศัยน้ำหนักของผ้าที่ทิ้งตัวได้ดีทำหน้าที่เสมือนเป็นโครงสร้างไปในตัวเลย สูทประเภทนี้ดูเหมือนจะมีราคาถูกและน่าจะทำง่าย แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย เพราะยิ่งไม่มีโครงสร้างเข้ามาช่วย นั่นแปลว่า การออกแบบจะต้อง “เป๊ะ” จริง ๆ เท่านั้น เสื้อสูทจึงจะออกมาสวยงาม นอกจากนี้สูทไร้โครงสร้างจะมีน้ำหนักเบาที่สุด ใส่แล้วดูเป็นธรรมชาติที่สุด จึงเหมาะกับการใช้งานที่ลำลองและไม่เป็นทางการนัก ตัวอย่างสูทไร้โครงสร้างที่ MenDetails ชอบ เช่น แบรนด์ Boglioli จากมิลาน ประเทศอิตาลี
– เสื้อสูทแบบไร้โครงสร้าง (Unstructing) จาก Boglioli รุ่น K-Jacket-
หากงบประมาณไม่ได้เป็นอุปสรรคของเรามากมายนัก เราขอแนะนำให้หลีกเลี่ยงสูทประเภททากาวล้วน ๆ หรือ Full Fusing Suit แล้วหันไปลงทุนกับสูทประเภทเย็บแคนวาสด้านในจะดีกว่า ไม่ว่าจะเป็น Half-Canvas หรือ Full-Canvas ก็ถือว่าโอเคสำหรับผู้เริ่มต้นทั้งสิ้น ส่วน Unstructing Suit จะมีความลำลองค่อนข้างมาก เหมาะสำหรับซื้อเป็นสูทชุดถัด ๆ ไป ที่เราอยากจะใส่ลำลองเล่น ๆ มากกว่านะครับ
3. กางเกงสูท
คำว่า “สูท” คือคำเรียกรวมเครื่องแต่งกาย 2 ชิ้น ได้แก่ เสื้อสูท กับ กางเกงสูท ซึ่งทั้งสองชิ้นจะต้องทำจากผ้าชนิดเดียวกันและมีสีที่เหมือนกันเท่านั้น จึงจะรวมร่างกันและเรียกว่า “สูท” ได้เต็มปากเต็มคำ ดังนั้นกางเกงสูทที่ใช้ก็ควรจะมีสีและผ้าเหมือนกับเสื้อด้วยนะครับ MenDetails แนะนำให้เลือกตัดกางเกงสูทที่มีระดับเอวที่สูงพอสมควร เพื่อป้องกันการเกิด “สามเหลี่ยมเสื้อเชิ้ต” อันไม่พึงประสงค์เวลาใส่สูท ทรงของกางเกงสูทที่ดีในความคิดของ MenDetails จะต้องทิ้งตัวตรงแนบกับแนวขาเมื่อมองจากทั้งด้านหน้า ด้านข้างและด้านหลัง ไม่รัดเข้ากับขาของเรา และไม่หลวมเกินไปจนดูเป็น “กางเกงขาก๊วย”
-ทรงกางเกงทิ้งตัวแนบกับแนวขาเป็นแนวยาวไม่มีสะดุดทั้งด้านหน้า, ด้านข้าง, ด้านหลัง และที่สำคัญเสื้อสูทกับกางเกงต้องเป็นผ้าแบบเดียวกันและสีเดียวกัน จึงจะสามารถเรียกว่า “สูท” ได้นะครับ-
4. สีสูท
MenDetails ได้พูดถึงเรื่องนี้อย่างละเอียดไปแล้วใน บทความก่อนหน้านี้ ซึ่งเราก็ขอสรุปอีกครั้งเพื่อให้เนื้อหาครบถ้วน สีของชุดสูทที่เป็นตัวเลือกแรก ๆ สำหรับสูทชุดแรกของผู้ชายมี 3 สีหลัก ได้แก่ สีดำ, สีน้ำเงิน และ สีเทา หากงบประมาณไม่ใช่ปัญหาของเรา เราจะตัด 3 ชุด 3 สีไปเลยก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ แต่ถ้าหากต้องเลือกเพียงสีใดสีหนึ่งจาก 3 สีนี้ เราขอแนะนำให้เลือกสีน้ำเงินเข้ม ๆ อย่าง สีกรมท่า (Navy) หรือ “สีน้ำเงินเที่ยงคืน” (Midnight Blue) ซึ่งจะเป็นสีสูทที่เราสามารถใช้งานได้อย่างหลากหลายที่สุด ตั้งแต่ร่วมงานแต่งงาน, ติดต่อธุรกิจสำคัญ หรือแม้แต่ไปร่วมงานศพ สูทสีน้ำเงินเข้ม ๆ ก็สามารถใช้งานได้อย่างครบถ้วนโดยไม่ผิดกาลเทศะ
-สูทสีน้ำเงินเข้ม จาก Sartoria Raffaniello-
5. เนื้อผ้าของสูท
การเลือกเนื้อผ้าคือขั้นตอนที่สำคัญมาก (แต่ผู้ชายหลายคนกลับมองข้ามอย่างน่าเสียดาย) เราคงเคยได้ยินกันมาแล้วว่าเนื้อผ้าที่เหมาะสำหรับการตัดชุดสูทดี ๆ สำหรับผู้ชายสักชุด คือผ้าขนสัตว์ประเภท “ผ้าวูล” (Wool Fabric) ทว่าร้านตัดสูทหลายร้านที่เน้นตัดสูทในราคาประหยัดมาก ๆ มักใช้ประโยชน์จากคำว่า “ผ้าวูล” โดยการนำผ้าที่มีส่วนผสมของขนสัตว์ (Wool) จริง ๆ เพียง 10% ไปผสมกับผ้าเส้นใยสังเคราะห์โพลีเอสเตอร์อีก 90% แล้วตั้งชื่อเรียกว่า “ผ้าวูลผสม” ทำให้พวกเราแอบหลงดีใจคิดว่าได้ตัดชุดสูทผ้าวูลที่มีราคาถูกเหลือเชื่อ แต่อันที่จริงแล้วไม่ใช่
ร้านสูทที่มีความรับผิดชอบจะบอกกับเราตรง ๆ ว่า ผ้าราคาประหยัดที่เราเลือกนั้น มันมี Wool จริง ๆ ผสมอยู่กี่เปอร์เซ็นต์ และเป็นผ้าใยสังเคราะห์สักกี่เปอร์เซ็นต์กันแน่ ซึ่งนั่นจะทำให้เราพบกับความจริงที่ว่า ชุดสูทที่ตัดจากผ้าวูลแท้ 100% เต็มจริง ๆ นั้น มักจะมีราคาที่สูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ เพราะฉะนั้นการเลือกผ้าสูทที่ดีอาจทำให้ ชุดสูท ของเรามีราคาสูงขึ้นได้เป็นเท่าตัว แม้จะสั่งตัดจากร้านเดียวกันก็ตาม
-ผ้าวูล 100% High Twist Open Weaves ‘Fresco’ –
หากงบประมาณระดับหลักหมื่นไม่ได้เป็นอุปสรรคที่ใหญ่เกินไปนัก โดยพื้นฐานแล้ว MenDetails แนะนำให้ผู้ชายไทยตัดชุดสูทดี ๆ ด้วย “ผ้าวูล 100%” ในรูปแบบของเส้นใยไฮทวิสต์โปร่งลม (High Twist Open Weaves) และมีแบรนด์ผ้าที่น่าเชื่อถือ อย่าง Vitale Barbaris Conanico (VBC) (วิตาลี่ บาร์เบอร์ริซ โคนานิโค่ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า “วีบีซี”), Holland & Sherry (ฮอลแลนด์ แอนด์ เชอร์รี่) ซึ่งเรามีตัวอย่างสูทผ้า Crispaire จาก Holland & Sherry โดย Prologue HK หรือ Caccioppoli (คัชช็อปโปลี่) เหล่านี้เป็นต้น เราจะมั่นใจได้ว่า ผ้าที่ใช้มีคุณภาพ ระบายอากาศได้ดี ไม่ยับง่าย และไม่ขึ้นเงาง่ายอีกด้วยครับ
-เสื้อสปอร์ตแจ็กเก็ต ทำจากผ้าวูลผสมผ้าไหมผสมผ้าลินิน (Wool Silk Linen) จาก Caccioppoli โดย Sprezzatura Eleganza –
หลังจากที่สูทตัวแรก ๆ ของเราเป็นผ้าวูลแบบไฮทวิสต์โปร่งลมแล้ว ถ้าเราติดใจอยากตัดเพิ่ม เราก็สามารถขยับไปใช้ผ้าประเภทอื่น ๆ เช่น ผ้าฝ้าย (Cotton) หรือ ผ้าลินิน (Linen) สำหรับสูทที่ลำลองและใส่ได้บ่อยโดยไม่ต้องรองานสำคัญ หรือ ผ้าวูลผสมผ้าไหมผสมผ้าลินิน (Wool Silk Linen Fabric) สำหรับผู้ชายที่ชอบสไตล์อิตาเลี่ยนแบบ ผู้ชายที่ไปร่วมงาน Pitti Uomo ช่วงหน้าร้อนนิยมใช้งานกัน
6. วิธีการดูแลรักษาชุดสูท
แขวนชุดสูทด้วยไม้แขวนสูทเสมอ หลังการใช้งานให้แขวนผึ่งไว้ 1 คืน ก่อนที่จะเก็บเข้าถุงเก็บสูทหรือตู้เสื้อผ้า นอกจากนี้เราควรหลีกเลี่ยงการซักทำความสะอาดทุกรูปแบบ ไม่เว้นแม้แต่การส่งซักแห้ง เพราะจะส่งผลเสียต่อเนื้อผ้าและโครงสร้างของชุดสูทของเรา ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นผ้าราคาสูงหรือไม่ หรือจะเป็นโครงสร้างแบบใดก็ตาม MenDetails แนะนำให้ใช้เครื่องรีดไอน้ำถนอมผ้าแบบยืน พ่นไอน้ำเพื่อรีดชุดสูทของเรานาน ๆ ครั้ง และส่งร้านซักแห้งประมาณปีละ 1 ครั้ง หรือเมื่อมีคราบสกปรกเลอะเทอะจริง ๆ เท่านั้น เพราะฉะนั้นทางที่ดีที่สุดคือ ใส่สูท ระวังกันหน่อยและอย่าเผลอทำอะไรแปลก ๆ หกใส่ก็พอนะครับ
7. เสื้อเชิ้ตที่จะใส่คู่กับชุดสูท
เบื้องต้นแล้วสำหรับชุดสูทที่มีสีพิมพ์นิยมอย่าง สีน้ำเงิน, สีดำ และ สีเทา วิธีการเลือกเสื้อเชิ้ตที่ง่ายที่สุดคือให้เลือกใส่ เสื้อเชิ้ตสีขาว เป็นคำตอบสุดท้ายที่ปลอดภัยที่สุด ต่อเมื่อเรารู้สึกคุ้นชินกับการใส่สูทและเริ่มเบื่อเสื้อเชิ้ตสีขาวเมื่อไหร่ ค่อยมาว่ากันใหม่ในขั้นถัดไปว่าจะเปลี่ยนไปใส่เสื้อเชิ้ตสีไหนดีนะครับ
-ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวคู่กับสูทสีเข้มรับรองว่าปลอดภัยแน่นอน และอย่าลืมให้ปลายแขนเสื้อเชิ้ตโผล่พ้นแขนสูทออกมาสักหน่อยด้วยนะครับ –
ส่วนอีกจุดหนึ่งที่ควรใส่ใจนั่นคือ ปลายแขนของเสื้อเชิ้ตแขนยาวควรจะอยู่ตรงบริเวณสิ้นสุดปลายข้อมือพอดี และควรให้ยาวโผล่พ้นแขนเสื้อสูทออกมาประมาณ 1 เซ็นติเมตร หรือ ครึ่งนิ้ว รายละเอียดเหล่านี้คือเทคนิคเบื้องต้นที่จะช่วยให้เรา ใส่สูทได้ดูดียิ่งขึ้นครับ
8. เนกไท , พ็อคเก็ตสแควร์ , นาฬิกา และ เข็มขัด
อุปกรณ์เสริม หรือ Accessories อื่น ๆ อย่างเช่น เนกไท ควรมีขนาดที่พอเหมาะ มีความกว้างที่สุดของเนกไทประมาณ 8-9 เซ็นติเมตร ยกเว้น Knit Tie ที่อาจจะแคบได้สักนิดที่ประมาณ 2 นิ้ว หรือ 6 เซ็นติเมตร MenDetails แนะนำสำหรับผู้เริ่มต้นให้ใช้เนกไทสีพื้นเรียบ ๆ ที่ตัดกับสีของชุดสูท หรือเป็นลายคลาสสิคอย่างลายเฉียง Regimental Tie หรือ Repp Tie ก็ได้ ส่วน Pocket Square หรือ “ผ้าประดับกระเป๋าเสื้อสูท” มีข้อควรจำง่าย ๆ ว่า อย่าให้เนกไทกับพ็อคเก็ตสแควร์มีสีและลวดลายที่เหมือนกันโดยเด็ดขาด
-เนกไทและพ็อคเก็ตสแควร์ที่จะใช้ ควรมีสีสันและลวดลายที่ “แตกต่างกันชัดเจน”-
ในส่วนของนาฬิกาข้อมือที่จะใส่กับชุดสูท ว่ากันตามตำรา ผู้ชายที่ใส่สูทในสมัยก่อนมักไม่นิยมใส่นาฬิกาข้อมือกันแต่อย่างใด แต่ในยุคปัจจุบันนั้นนาฬิกากลายเป็นเครื่องประดับที่ผู้ชายหลายคนขาดไม่ได้ หากรักจะใส่ก็ขอให้ ใส่นาฬิกาที่มีดีไซน์เรียบ และมีตัวเรือนที่บาง ตามสไตล์ Dress Watch เพื่อให้นาฬิกาข้อมือสามารถสอดตัวอยู่ใต้ปลายแขนเสื้อเชิ้ตได้ ไม่ยันกับแขนเสื้อเชิ้ตจนยับย่น และสุดท้ายคือเข็มขัดซึ่งเป็น Accessories ที่เรามองว่า “ไม่จำเป็นต้องใช้” สำหรับการใส่สูท เราแนะนำให้เปลี่ยนไปใช้ กางเกงที่ตัดเย็บพอดีเอว หรือมีแถบผ้าปรับเอว (Side Adjuster) แทนการใช้เข็มขัด แต่ถ้าใครรักจะใส่เข็มขัดกับชุดสูทจริง ๆ แล้วล่ะก็ MenDetails มีข้อควรจำง่าย ๆ นั่นคือ ให้ใช้เข็มขัดที่มีโทนสีเดียวกันกับสีของรองเท้าหนังที่เราใส่นะครับ
9. รองเท้าที่จะใส่คู่กับชุดสูท
รองเท้าที่ใส่กับสูทได้ดีคือ รองเท้าหนังประเภท Dress Shoes เทคนิคคือให้เลือกรองเท้าหนังที่มีสีเข้มใกล้เคียงกับสีของกางเกงของชุดสูทที่เราใส่ ซึ่งถ้าย้อนกลับไปที่หมวดของ “สีสูท” ข้างต้น ทาง MenDetails ได้แนะนำว่าเราควรตัดชุดสูทชุดแรกเป็นสีน้ำเงินเข้มอย่างเช่น สีกรมท่า หรือสีน้ำเงินเที่ยงคืน (Midnight Blue) ซึ่งรองเท้าที่จะเข้ากับสีน้ำเงินโทนดังกล่าวควรจะเป็นรองเท้าสีเข้มเช่นกัน อย่างเช่น สีดำ และ สีน้ำตาลเข้ม ส่วนใครที่ยังอยากตัดสูทสีดำสนิท MenDetails ก็แนะนำให้ใช้ รองเท้าหนังสีดำ อย่างเดียวเลยจะดีกว่า และถ้าใครชอบสีเทา โดยส่วนตัว MenDetails ก็ยังเชียร์ให้ใส่รองเท้าสีดำกับสูทสีเทาอยู่ดี แต่ถ้าชอบรองเท้าสีน้ำตาลก็ควรใส่รองเท้าหนังสีน้ำตาลกลาง ๆ ค่อนไปทางเข้มหน่อยจะเหมาะกว่าครับ
อันที่จริงแล้วเรื่องการใส่สูทของผู้ชายยังมีรายละเอียดมากกว่านี้อีกเพียบ แต่ทั้งหมดด้านบนนี้คือความรู้เบื้องต้น “ขั้นพื้นฐานที่สุด” ในเรื่องของการเลือกซื้อและเลือกใส่ “ชุดสูท” สำหรับผู้ชายทุกคนตั้งแต่หัวจรดเท้า ถือเป็นบทความต้อนรับผู้ชายที่สนใจและต้องการพัฒนาบุคลิกภาพของตัวเองผ่านการแต่งกายที่สุภาพเหมาะสมตามกาลเทศะอย่างชุดสูทในขั้นเริ่มต้นที่สุด ซึ่งเราเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ชายทุกคน ส่วนผู้หญิงที่กำลังอ่านอยู่ หากใครต้องการให้เพื่อนผู้ชายหรือแฟนของตัวเอง ใส่สูท ได้ดูดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ก็ฝากแชร์บทความนี้ไปถึงพวกเขาเหล่านั้นด้วยนะครับ และ MenDetails สัญญาว่าจะนำเกร็ดความรู้ดี ๆ สำหรับผู้ชายมาฝากกันอีกแน่นอนครับ