เราเชื่อมั่นว่า ถ้าคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่ติดตามกระแสของ Streetwear คุณต้องเคยเห็นแบรนด์ Outerwear นามว่า The North Face ผ่านตาที่ไหนสักที่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นโลกออนไลน์หรือกระแส Streetwear เวลาคุณเดินทางไปเที่ยวเมืองนอก และเอาเข้าจริงแล้วนั้น The North Face ไม่ได้โด่งดังขนาดนี้เมื่อแบรนด์เริ่มก่อตั้งที่ San Francisco เมื่อปี 1968 เลยด้วยซ้ำ เนื่องจากแบรนด์แรกเริ่มเดิมทีนั้น ผลิตอุปกรณ์ปีนเขานั่นเอง แต่ทำไมเสื้อผ้าแนว Performance ลักษณะนี้ถึงได้กลายเป็นจุดสนใจของเหล่า Fashionista ไปได้
ขับเคลื่อนด้วย Sub-Culture ทั้งในและต่างประเทศ
เนื่องจากแบรนด์ The North Face นั้นไม่ได้มีพื้นฐานการตลาดจาก Fashion หรือสไตล์แต่อย่างใด ส่วนใหญ่นั้นเกิดจาก Functional ล้วนเสียมากกว่า ตั้งแต่การปีนเขาในอุณหภูมิที่ยากจะคาดเดา คล้ายเป็นส่วนหนึ่งของ Surviving Gear ของเหล่านักผจญภัยเลยก็ว่าได้ แต่ตัวจุดกระแสนั้นเกิดจาก Sub-Culture อย่างในประเทศอเมริกาเองนั้น เกิดจากกระแส Rapper / Hip-Hop เป็นหลัก ยกตัวอย่างเช่นในปี 2007 นั้น The North Face ได้ร่วมมือกับแบรนด์ Supreme กับงาน Collaboration ครั้งแรกกับแบรนด์ Street ที่ยังคงมีการร่วมงานกันจนถึงทุกวันนี้ และในปี 2009 Rapper ชื่อดังนามว่า Notorious B.I.G. ได้แต่งเพลงชื่อว่า Dead Wrong และได้ยัดชื่อแบรนด์ดังไว้ในเนื้อหาเกี่ยวกับกระแสความดังต่างๆ ในหมู่ New Yorker อย่าง Gucci และ The North Face
ในต่างประเทศอย่างฝั่งอังกฤษเองนั้น ถือเป็นกระแส Sub-Culture ที่ดุดันมากทีเดียว หลายต่อหลายครั้งที่กองเชียนทีมบอลต่างๆ ตกลงกันแต่งตัวด้วยเสื้อ Jacket จาก The North Face เช่นกองเชียร์ทีม Celtic นอกจากนั้น The North Face เองก็เป็นกระแสอยู่ใน London มาอย่างยาวนาน เป็น Sub-Culture ชาว Street ที่คนเมืองผู้ดีต่างรู้กันว่า ถ้ามีแก็งค์เด็กวัยรุ่นใส่เสื้อ The North Face เดินไปเดินมาเป็นกลุ่ม มันต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ ซึ่งถือเป็นแบรนด์ที่แข็งแรงมาตั้งแต่ต้นยุค 2000s เลยก็ว่าได้
The North Face x Apple
ไม่ใช่แค่แบรนด์ Street เท่านั้น แต่ The North Face เอง เคยร่วมงานกับทีม Apple ในปี 1986 คุณอาจจะรู้สึกว่า “นี่ไม่ได้มีผลโดยตรงกับแบรนด์ The North Face อยู่แล้ว” ซึ่งเราก็คิดแบบนั้นครับจนเมื่อเจ้าพ่อ Rapper R&B อย่าง Drake หยิบมาใส่เมื่อปี 2015 จนกระแสบนโลกออนไลน์ต่างสั่นสะเทือนแบบฉุดไม่อยู่ ซึ่งในเวลาต่อมา The North Face x Apple ที่ผลิตแบบจำนวนจำกัด ทั้งเข็มขัด / เสื้อผ้าแบบ Track Suit และ Outerwear นั้นกลายเป็นที่ต้องการจนราคาเสื้อ Jacket Outerwear ขึ้นไปแตะที่ $825 ใน eBay หรือราวๆ 27,000.- เลยทีเดียว
แบรนด์ไหนที่ดังในญี่ปุ่น ‘มันต้องไม่ธรรมดา’
ยกตัวอย่างเช่นแบรนด์อย่าง A Bathing Ape / Supreme / Undefeated / Neighborhood ที่มักมี Collection หรือสินค้าสุดพิเศษวางขายเฉพาะในญี่ปุ่นเท่านั้นอยู่เรื่อยไป ยกตัวอย่างง่ายๆ เลยก็คือ Converse ที่ในญี่ปุ่นเองนั้นสามารถผลิตในรูปแบบใดก็ได้ตามที่แบรนด์ต้องการ เพราะตลาดมีความใหญ่มากพอที่จะเปิดสินค้าในไลน์ของตัวเองโดยเฉพาะ และ The North Face ก็เช่นเดียวกัน แบรนด์ได้ทำการเปิดไลน์สินค้าใหม่สำหรับแดนปลาดิบโดยเฉพาะกับ The North Face Purple Label ซึ่งเป็นการร่วมงานระหว่างตัวแบรนด์เองและ Eiichiro Homa จากแบรนด์ Nanamica และวางขายแบบ Exclusive เฉพาะในญี่ปุ่นเท่านั้น
Performance Touch ในรูปแบบของ Street Style
ที่สุดแล้วต้องกลับมาดูกันครับว่าแบรนด์แนว Performance นั้นจะอยู่รอดได้ด้วยวิธีไหนบ้าง แน่นอนว่า The North Face มีแนวทางของตัวเองตั้งแต่การพัฒนาคุณภาพสินค้า เปลี่ยนจากการใช้ขนเป็ดจริงๆ เป็นใยสังเคราะห์รวมถึงขนจิ้งจอก รวมไปถึงการ Sponsor นักกีฬา / นักปีนเขาระดับโลกอีกมากมาย ซึ่งนั่นเป็นทิศทางของแบรนด์ที่มุ่งหน้าไปอย่างมั่นคง แต่ในขณะเดียวกันแบรนด์เองก็มีงาน Collaboration กับแบรนด์ Street มากหน้าลายตา ไม่ว่าจะเป็น Junya Watanabe / Timberland / Extra Butter / BEAMS / Beauty&Youth / Vans และอื่นๆ อีกมาก ซึ่งฉีกแนวแบรนด์ Performance ได้จัดจ้านและลงตัวมากทีเดียว จึงไม่แปลกครับที่แบรนด์ The North Face กำลังเป็นที่จับตาของใครหลายๆ คน เพราะนอกจากจะได้ Functional ที่ดีเยี่ยมแล้ว ยังได้ Style ที่เท่ ไม่เป็น 2 รองจากใครด้วยเช่นเดียวกัน
อ่านถึงตรงนี้ MDs ขอแนะนำให้เดินไปที่ช็อป The North Face ดูครับ เลือกซื้อสักตัว 2 ตัวมาประดับตู้ เผื่อเวลาต้องเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ จะได้หยิบไปใส่ได้แบบคูลๆ รับรองครับว่า โลโก้บนอกเสื้อและหลังหัวไหล่ข้างขวานั้น มีเสน่ห์ที่คุณคาดไม่ถึงแน่นอน