ผมเพิ่งเป็นเมื่อสักครู่นี้เองกับคำว่า “หนี้”
ทำไมมันต้องเป็นพยัญชนะสองตัวนี้มาผสมกับสระและวรรณยุกต์ตัวนี้ด้วย ช่างคิดจริงๆนะคนเรา
เอาเป็นว่าเราพักเรื่องภาษาศาสตร์ไว้เพียงเท่านี้ก่อน แล้วมาว่ากันด้วยเรื่องเงินๆทองๆตามคอลัมน์ MenDetails’ MONEY กันต่อดีกว่านะครับ
พูดถึงคำว่า “หนี้” แน่นอนว่าแทบทุกคนต้องรู้จัก โดยความหมายแบบบ้านๆของมันก็คือ การติดค้างบางสิ่งบางอย่าง ที่เราจำเป็นต้องชดใช้คืนให้ในภายหลัง ดังนั้นเวลาเราพูดว่าใครเป็นหนี้ใคร ฟังแล้วให้ความรู้สึกในแง่ลบซะเหลือเกิน แถมหนี้เองก็มีหลายแบบหลายสไตล์ ทั้งเป็นหนี้บุญคุณก็มี บางคนเป็นหนี้รัก ว่าเข้าไปนั่น
แต่ถ้าเกี่ยวกับเรื่องเงินๆทองๆแล้วล่ะก็ เวลาเราไปยืมเงินใครไว้ เราก็ต้องชดใช้เงินจำนวนนั้นคืนให้เขา พร้อม “ดอกเบี้ย”
ไอ้เจ้าดอกเบี้ยนี่แหละครับคือตัวปัญหาสำคัญของการเป็นหนี้ เพราะถ้าปล่อยไว้นาน ไม่ยอมชดใช้หนี้เสียที ดอกเบี้ยมันก็พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ เผลอๆดอกเบี้ยเยอะกว่าตัวหนี้จริงๆซะอีก ดังนั้นคำแนะนำส่วนใหญ่ทางด้านการเงินที่เราได้ยินกันบ่อยก็คือ “อย่าเป็นหนี้” (ยกเว้นกรณีที่จำเป็นจริงๆเท่านั้น)
อย่างไรก็ตามในความคิดของผมเองนั้น ผมว่าการโยงเอาเรื่องหนี้ ไปผูกกับดอกเบี้ยตลอดเวลาเป็นเรื่องที่ถูกเพียงครึ่งเดียว และจะทำให้เราตกหลุมพรางทางความคิดเอาง่ายๆ นั่นก็เพราะว่า การใช้จ่ายเงินบางอย่างนั้น แม้เราไม่ได้ไปยืมเงินใครมาใช้เลย ซื้อด้วยเงินสดเต็มจำนวนแท้ๆ แต่เรากลับต้องจ่าย “อย่างอื่น” แทนดอกเบี้ยก็มี และมันก็กลายเป็น “หนี้” ให้เราได้โดยที่เราไม่ต้องไปยืมเงินใครด้วยซ้ำ
ยกตัวอย่างนะครับ สมมติว่าคุณสามารถซื้อรถราคา 1 ล้านบาทได้ด้วยเงินสดล้วนๆ ไม่กู้เงินเลย ไม่ต้องยืมเงินเพื่อนด้วย คนอื่นอาจจะมองว่าคุณสบายตัวแล้ว ไม่เป็นหนี้ และไม่ต้องจ่าย “ดอกเบี้ย” ในการซื้อรถคันนี้เลย
แต่เรื่องมันไม่จบแค่นั้นครับ เพราะคุณต้องจ่ายเงินกับรถคันนี้อีกเยอะ ทั้งค่าน้ำมัน, ค่าเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง, เปลี่ยนยาง, เปลี่ยนผ้าเบรก, แบตเตอรี่, ยางปูพื้น ฯลฯ อีกเพียบ! ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ “เอาเงินออกจากกระเป๋าของเรา” ทั้งนั้น และทำหน้าที่คล้าย “ดอกเบี้ย” แบบชัดเจน
หมายความว่าเราหลอกตัวเองว่ารถไม่ใช่หนี้ เพียงแค่เพราะว่าเราไม่ได้จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อรถนั่นเอง
จากตัวอย่าง ถ้าเราเปลี่ยนแนวคิดใหม่ รถคันนี้ก็คือ “หนี้” ที่เราต้องจ่ายค่าซ่อมบำรุงทั้งหลายแหล่เทียบได้กับ “ดอกเบี้ย” ให้กับมันตลอดเวลา
และรถคันนี้จะไม่ใช่ “หนี้” ก็ต่อเมื่อเราสามารถใช้งานมันในการหาเงินให้เราได้ “มากกว่า” ค่าใช้จ่ายต่างๆที่เราเสียให้มันไป
เช่น บางคนซื้อรถยนต์แล้วก็เอาไปใช้ประโยชน์ เอาไปส่งของ เอาไปปล่อยเช่า ไปขับ Uber แล้วได้รายได้มากกว่ารายจ่ายที่จ่ายออกไป รถยนต์คันนี้ก็เปลี่ยนจากหนี้เป็นอุปกรณ์ทำมาหากินทันที
พลิกความคิดนิดเดียวเองครับ “หนี้มันไม่ใช่แค่เงินกู้ แต่เป็นอะไรก็ได้ที่คอยจะดึงเงินออกจากกระเป๋าเราอยู่เรื่อยๆ” ถึงแม้คุณไม่เคยต้องกู้เงินใครเลย แต่ตลอดเวลาทุกวันคุณซื้อแต่ “หนี้” ที่มัวแต่จะดึงเงินออกจากกระเป๋าคุณ รับรองว่าความยากจนก็รออยู่ไม่ไกลครับ
ลองมองไปรอบๆตัวแล้วค่อยๆนึกดูนะครับ ว่าตัวเองนั้นซื้อสิ่งที่เรียกว่า “หนี้” โดยไม่ได้ผ่อนดอกเบี้ยมาเยอะแค่ไหนแล้ว
ถ้าหยุดซื้อหนี้ หรือซื้อให้น้อยลงได้… คุณจะมีเงินเหลืออีกเยอะเลยทีเดียวเชียวครับ