เมื่อยอดจอง รถไฟฟ้า ในเมืองไทย มีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความสามารถในการจับจองรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาสูงกว่ารถยนต์สันดาปภายใน อาจกล่าวได้ว่า คนไทยพร้อมที่จะเลือกใช้รถไฟฟ้าเป็นรถยนต์หลักในชีวิตประจำวันแล้วจริงหรือ? ในเมื่อโครงสร้างที่จะมารองรับการเติบโตของธุรกิจรถไฟฟ้านั้น ยังมาได้ไม่ทันท่วงที การจะตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า 100% นั้น ดูจะมีคำถามที่ต้องตอบอยู่มากพอสมควร วันนี้เรามาลองพิจารณากันสักนิดครับว่า อะไรที่เป็นอุปสรรคต่อการเลือกซื้อของพวกเรากันบ้าง
ยอดจองคิดเป็น 10% จากยอดทั้งหมด
ในงาน Motor Show ที่ผ่านมา
เรียกว่าเติบโตค่อนข้างมากเลยทีเดียว กับยอดจองที่มีมากถึง 3,084 คัน ซึ่งถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นต์แล้ว ยอดจอง รถไฟฟ้า มีมากถึงเกือบ 10% จากยอดจองยานยนต์ทั้งหมดในงาน Motor Show ครั้งที่ 43 เลยก็ว่าได้ โดยแบรนด์รถยนต์ที่ครองอันดับ 1 เรื่องยอดขายรถไฟฟ้าก็คือ MG (1,300 คัน) ตามมาด้วย GWM (1,136 คัน) แต่ที่น่าตกใจมากกว่าก็คือ อันดับที่ 3-5 เป็นรถยนต์แบรนด์ยุโรปทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น Volvo / BMW และ MINI (อันดับ 5 ร่วมคือ Porsche) ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตที่น่าสนใจมาก ๆ สำหรับวงการรถยนต์ EV ในบ้านเรา
เรามาลองดูราคาของรถยนต์ไฟฟ้าจาก แบรนด์ Volvo กันดูครับ กับ XC40 ซึ่งมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 2.59 ล้านบาท การขึ้นมาครองอันดับ 3 ด้วยยอดจองสูงถึง 385 คันนั้น ถือเป็นตัวเลขที่มีนัยสำคัญพอสมควร จะเห็นได้ว่า คนที่เลือกซื้อรถไฟฟ้านั้น มีความหลากหลายพอสมควร ตั้งแต่ MG ที่เริ่มต้นในราคาต่ำล้าน (หลังได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ) ไล่ไปจนถึงรถยนต์อย่าง Porsche ที่ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 7.39 ล้านบาท ซึ่งถือว่า รถยนต์ EV กลายเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายหลัก ๆ ของทุกเพศทุกวัย ณ ปัจจุบันก็ว่าได้
แต่ทำไมยอดจองถึงไม่สูงอย่างที่คิด
ถึงแม้จะเป็นตัวเลขที่น่าสนใจ กับยอดจองที่มีมากถึง 3,084 คัน แต่หากมองภาพรวมของตลาดยานยนต์ในระดับสากล ตัวเลขนี้ถือเป็นตัวเลขที่ไม่มากเลยครับ สังเกตได้จากอัตราการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้าในระดับ Global ช่วงปี ค.ศ. 2019-2020 นั้น มีการเติบโตสูงกว่าปีก่อนหน้าถึง 42% และในปี ค.ศ. 2020-2021 การเติบโตเพิ่มจากปีเดิมถึง 109% (ข้อมูลจาก ev-volumes) แต่การเติบโตในไทย กลับสร้าง Market Cap ได้เพียง 10% ในงาน Motor Show ครั้งที่ 43 เท่านั้น สืบเนื่องจากปัจจัยหลาย ๆ อย่าง ที่ทำให้การเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า เป็นเรื่องยากสำหรับคนไทยไปโดยปริยาย
ปัจจัยหลักที่มีผลต่อการเลือกซื้อ รถไฟฟ้า เลยคือ
จุดชาร์จที่มีไม่มากพอ
เชื่อว่าหลาย ๆ ท่านที่กำลังตัดสินใจว่า จะเลือกซื้อรถไฟฟ้าดีหรือไม่นั้น คำนึงอย่างมากกับระยะทางในการขับขี่ในแต่ละรอบที่ชาร์จ ถึงแม้ว่าหลากหลายแบรนด์จะตบเท้าออกมาบอกว่า รถยนต์ของตนนั้น สามารถทำระยะทางได้ไกลกว่า 400+km เป็นมาตรฐาน ทว่า ในความคิดของผู้บริโภคอย่างเรา ๆ ยังคงรู้สึกว่า 400+km ดูจะไม่ได้ไกลอย่างที่คิด เนื่องจาก “จุดชาร์จไฟที่ยังมีไม่มากพอ” นั่นเอง กล่าวคือ หากเราเดินทางไปยังต่างจังหวัด เราจำเป็นต้องนั่งคำนวณระยะทาง รวมถึงการเดินทางท่องเที่ยวในจังหวัดนั้น ๆ ก็จะทำได้ยากจากข้อจำกัดดังกล่าว เนื่องจากความสบายใจในการใช้งานนั้น มีน้อยกว่าการเติมน้ำมันจากปั๊มน้ำมันค่อนข้างมาก
อีกปัจจัยที่ทำให้คนส่วนใหญ่ (โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ) ไม่สามารถมีรถยนต์ไฟฟ้าในครอบครองได้ก็คือ เราเองไม่มีพื้นที่ในการจอดรถเป็นพื้นที่ส่วนตัว และการเข้าถึงไฟฟ้าที่เหมาะสมต่อการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้านั้นทำได้ยาก ขอยกตัวอย่างเช่น ผู้ที่อาศัยอยู่ในคอนโดมีเนียมต่าง ๆ ที่พื้นที่จอดรถนั้น ไม่ได้ Fix ที่ไว้ชัดเจน รวมถึงคอนโดในแต่ละแห่ง ก็มีนโยบายเกี่ยวกับจุดชาร์จรถไฟฟ้าไม่เหมือนกัน และถึงแม้คุณจะอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน และมีพื้นที่จอดรถอยู่ในโรงรถของตัวเองก็ตาม ก็ยังมีปัจจัยเรื่องกระแสไฟฟ้าที่จ่ายมาถึงหน้าบ้านของคุณว่า เหมาะสมต่อการติดตั้งที่ชาร์จไฟฟ้าสำหรับรถยนต์หรือไม่
คนที่สามารถครอบครองรถไฟฟ้าได้ในไทย จึงมีจำนวนจำกัด เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ ที่กล่าวมา ซึ่งส่วนมากจะเป็นบุคคลที่มีฐานะ มีพร้อมซึ่งทรัพยากร และเลือกลงทุนกับสิ่งที่ดีกว่า
แต่ปัญหาบางอย่าง สามารถแก้ไขได้โดยภาครัฐฯ
การเพิ่มจุดชาร์จ รวมไปถึงการกระตุ้นให้ผู้ประกอบการทั้งหน่วยงานรัฐฯ และเอกชน หันมาให้ความสำคัญกับการเพิ่มจุดชาร์จไฟฟ้า สามารถทำให้เกิดขึ้นได้จริงโดยภาครัฐฯ เป็นผู้สนับสนุน กล่าวคือ หากมีการกำหนดกฎเกณฑ์ หรือกระตุ้นให้เกิดการสร้างจุดชาร์จที่มากพอต่อการใช้งานรถไฟฟ้า เชื่อแน่ว่า กระแสการปรับเปลี่ยนจากรถยนต์สันดาปภายใน มาสู่รถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า 100% เป็นไปได้ง่ายและรวดเร็วแน่นอน นอกจากจะช่วยเพิ่มโอกาสการสร้างงานให้กับคนไทย โดยกระตุ้นให้ต่างชาติเข้ามาตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว ยังช่วยลดปัญหาสภาพอากาศเป็นพิษทางอ้อมได้ด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ดี ยังมีรถยนต์จากค่าย Nissan ที่เป็นสะพานเชื่อมที่ยอดเยี่ยมที่สุด ณ ปัจจุบัน กับ Nissan Kicks รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ด้วยเทคโนโลยี e-Power โดยการเติมน้ำมันให้เครื่องยนต์ปั่นเป็นพลังงานไฟฟ้าให้กับเครื่องยนต์ไฟฟ้าอีกทีหนึ่ง เชื่อว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมาก ๆ ณ ตอนนี้ พร้อมกับยอดจองที่มีสูงถึง 1,000 คัน กับการเปิดตัวใหม่อีกครั้งในราคาที่คุ้มค่าขึ้นกว่าเดิม
สุดท้ายนี้ MenDetails เชื่อว่า “รถไฟฟ้า” อย่างไรก็เป็นอนาคตในวงการรถยนต์อย่างแน่นอน อยู่ที่ว่า จะสามารถพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน ให้ตอบโจทย์กับการใช้งานได้อย่างไร และเมื่อไรเท่านั้นเองครับ