ต้องกล่าวแบบนี้ก่อนครับว่า เจ้ารถไฟฟ้า หรือ Electric Vehicle นั้น กำลังกลายเป็นกระแสอย่างยิ่งในบ้านเรา แต่สิ่งที่เป็นปัญหาของผู้ที่จะตัดสินใจเลือกซื้อ “รถไฟฟ้า” มาใช้ในชีวิตประจำวันก็คือ การหาจุดชาร์จไฟในแต่ละแห่ง หรือในแต่ละสถานที่ หากต้องขับรถเป็นระยะทางไกล ๆ ซึ่งแน่นอนว่า รถยนต์ที่ใช้น้ำมันเป็นตัวขับเคลื่อน ยังคงเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมอยู่เช่นเคย ในช่วงปีที่ผ่านมา แต่สำหรับเจ้า Mercedes-Benz C 350 e ตัวนี้ MenDetails เชื่อว่า คุณอาจได้รถสมรรถนะสูง ซึ่งเรียกตัวเองว่า “รถไฟฟ้า” ขนาดย่อม ๆ ได้เลยเช่นเดียวกัน หากใช้ชีวิตอยู่ในเมือง และมีจุดชาร์จไฟที่บ้าน หรือใกล้บ้าน แน่นอนว่าจุดเด่นมีหลายจุดมาก ๆ แต่เพื่อให้เข้าใจใน Concept โดยรวม ในการออกแบบรถยนต์คันนี้จากค่าย Mercedes-Benz เราจะขอกล่าวถึงบางจุดที่น่าสนใจ และคาดว่าจะเป็นประโยชน์ในชีวิตประจำวัน กับคนที่เลือกจะใช้งานเป็นประจำกันครับ
เป็นรถ Plug-in Hybrid ที่ไม่ธรรมดา
คำว่ารถยนต์ Plug-in Hybrid นั้น ไม่ได้เป็นคำใหม่ของวงการยานยนต์แต่อย่างใดครับ แต่สำหรับเจ้ารถยนต์ Mercedes-Benz C 350 e AMG Dynamic คันนี้ ถือว่าฉีกกฏเกณฑ์บางอย่างออกไปได้อย่างน่าสนใจ กับรถยนต์ที่สามารถทำระยะทางด้วยพลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ไกลถึง 100 กิโลเมตร ซึ่งพอได้ขับจริง ๆ แล้วนั้น ระยะทางที่ทำได้จากพลังงานไฟฟ้า กลับมาระยะทางที่ไกลกว่าตัวอักษรที่ทางแบรนด์แจ้งไว้ กล่าวคือ ด้วยกำลังไฟฟ้าตั้งแต่ออกตัวคือราว 90% สามารถทำระยะทางได้ไกลถึง 106 กิโลเมตรเลยด้วยซ้ำไป ดังนั้น หากรถคันนี้มีพลังงานไฟฟ้าเต็ม 100% ย่อมวิ่งได้ไกลกว่าอีกราว 10-15 กิโลเมตรเลยก็ว่าได้
โดยปกติแล้ว หากเป็นรถยนต์แบบ Plug-in Hybrid เราสามารถเลือกขับด้วยพลังงานไฟฟ้า สลับกับน้ำมัน หรือจะใช้งานควบคู่กันก็สามารถทำได้ แต่จะมีการกำหนดความเร็วที่จำกัด หากเลือกขับด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว แต่สำหรับรถยนต์คันนี้ คุณสามารถวิ่งด้วยไฟฟ้า 100% ด้วยโหมด EL และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 140km/hr เรียกว่าเป็นความเร็วที่เกินกำหนดของกฏหมายจราจรในบ้านเราไปแล้ว ดังนั้น สบายหายห่วงครับ คุณสามารถขับแค่พลังงานไฟฟ้าได้แบบ 100% ในทุกวันได้สบาย ๆ
ไฟหน้าแบบ Digital Light
มาตราฐานใหม่แห่งวงการยานยนต์
เปิดตัวได้อย่างน่าตื่นเต้นผ่านรถยนต์ในรุ่น EQS มาแล้ว กับ Digital Light ซึ่งเปลี่ยนมาตราฐานการบอกค่าความสว่างมาเป็นรูปแบบ Pixels กันไปเลย เนื่องจากตัว Digital Light นั้น จะสามารถฉายภาพลงบนพื้นถนนได้ เพื่อแจ้งเตือนผู้ขับขี่เกี่ยวกับเส้นทางโดยรอบ อาทิเช่น เส้นทางข้างหน้ามีการก่อสร้าง หรือ การนำทางผ่านระบบนำทาง MBUX และที่น่าสนใจที่สุด คงหนีไม่พ้นการฉายแสงให้เห็นสิ่งของ หรือสิ่งมีชีวิต ที่อยู่บนท้องถนนในเวลากลางคืน โดย Digital Light สามารถส่งความสว่างได้ไกลสูงสุดถึง 600 เมตรเลยทีเดียว ทว่า ความสามารถทั้งหมดที่กล่าวมาจะสามารถทดลองใช้งานได้จริงในช่วงต้นปี 2023 ผ่านระบบ Service ที่ทาง Mercedes-Benz จะมอบให้ในอนาคต
ช่วงล่างแบบ Air Suspension ด้านหลัง
เนื่องจากตัวรถนั้น มีขนาดของ Battery ที่มากขึ้น น้ำหนักก็มากขึ้นตามไปด้วย ทำให้ทาง Mercedes-Benz เลือกใช้ช่วงล่างตอนหลังเป็นแบบ Air Suspension หรือระบบถุงลมนั่นเอง เพื่อช่วงผยุงให้ผู้โดยสารตอนหลัง หรือการขับขี่โดยรวมนั้น ไม่โคลงมากจนเกินไป ซึ่งถามว่าทางแบรนด์ปรับแต่งช่วงล่างมาได้ดีมั้ย ต้องเรียนตามตรงว่า ปรับมาได้อย่างยอดเยี่ยมสำหรับการขับขี่ที่ไม่ได้ใช้ความเร็วเกินกำหนด รวมถึงช่วยปรับให้ระยะความสูงต่ำของตัวรถช่วงด้านหน้า กับด้านหลังนั้น มีระยะที่เหมาะสมตลอดเส้นทางการขับขี่ ผู้นั่งตอนหลังจะรู้สึกสมดุลมากเป็นพิเศษ แต่ MenDetails ก็อยากทดลองว่า หากทำความเร็วในระดับสูง ๆ แล้วเข้าโค้งด้วยความเร็ว ตัวรถจะเป็นอย่างไร ในเมื่อมีน้ำหนักจาก Battery ที่มาถึง 200+kg วางแบบเรียบ ๆ อยู่ช่วงกระโปรงท้าย
ลองวิ่งทำความเร็วสูง แล้วเข้าโค้งยาว ๆ จะเห็นว่า ตัวรถมีอาการ Slide เล็กน้อยครับ แต่ไม่ถึงกับตกใจ ซึ่งถือว่าทาง Mercedes-Benz ปรับช่วงล่างมาได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะถ้าคุณใช้งานในชีวิตจริงที่วิ่งด้วยความเร็วราว 120km/hr รับรองว่าไม่เกิดอาการอย่างที่เราเรียนแจ้งให้เห็นอย่างแน่นอนครับ
ภายในที่ไม่เคยทำให้ผิดหวัง
การออกแบบตกแต่งภายใน ถือเป็นเรื่องหนึ่งครับที่ทาง Mercedes-Benz สามารถทำได้อย่างดีเยี่ยม ดีจนหลากหลายท่านอาจไม่ได้กล่าวถึงแล้ว แต่ตำแหน่งการนั่ง ตำแหน่งของการใช้งานหน้าจอของตัวรถนั้น ทำออกมาได้ดีเยี่ยม แต่สำหรับคันนี้ จะมีการปรับให้ตัวเบาะหนังเป็นแบบ Two-Tones ซึ่งให้อารมณ์ Sport มากยิ่งขึ้น พร้อมเครื่องเสียงระดับ Premium อย่าง Burmester Sound System ครบชุด ที่นั่งหลังเหมือนจะตั้งฉากเกินไป แต่พอนั่งในระยะทางไกล ๆ ก็ถือว่าสบายมากทีเดียวครับ เรียกว่าเป็นมาตราฐานในระดับ Mercedes ที่หลาย ๆ ท่านอาจไม่พูดถึงกันแล้ว เพราะกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับรถยนต์จากค่ายนี้ ที่ภายในถูกออกแบบได้อย่างสวยงามและ Luxury เป็นพิเศษนั่นเอง
ล้อรถที่ถูกออกแบบมาอย่างตั้งใจ
หลากหลายท่านอาจรู้สึกว่า ล้อขอบ 18 นิ้ว ดูจะเล็กเกินไปสักหน่อย ควรให้มาเป็นขอบ 19 นิ้วตามรุ่นก่อนหน้าอย่าง C 220 d AMG Dynamic หรือไม่ แต่เนื่องจากตัวรถนั้น มีน้ำหนักที่มากขึ้นกว่าเดิม ทำให้ทางแบรนด์เลือกใส่ขอบ 18 มาแทน เพื่อให้ได้แก้มยางที่มากขึ้น รับน้ำหนักและแรงกระแทกได้ดียิ่งขึ้น บวกกับงานออกแบบตัวล้อที่ได้รับงานวิจัยมาจากรุ่นพี่อย่าง EQS ซึ่งช่วยให้ตัวรถ สามารถวิ่งได้ไกลขึ้นจากการลดแรงต้านอากาศขณะขับขี่ ซึ่งทางแบรนด์แนะนำว่า หากอยากเปลี่ยนล้อแม็คจริง ๆ ก็ยังแนะนำให้เปลี่ยนเป็นขนาดเดิมเป็นหลัก เพราะด้วยปัจจัยอย่างน้ำหนักของตัวรถ หากเปลี่ยนเป็นวงล้อที่กว้างขึ้น อาจส่งผลต่อการใช้งานในระยะยาวได้
เรียกว่าเป็นรถที่อันแน่นด้วยรายละเอียด และคุณสมบัติที่ครบครัน ที่สำคัญคือ คุณสามารถชาร์จด้วยไฟฟ้าบ้าน A/C ให้ตัว Battery เต็มถึง 100% ได้ภายใน 2 ชั่วโมง และไฟฟ้ากระแสตรง D/C เพียง 30 นาทีเท่านั้น คุณก็สามารถขับด้วยพลังงานไฟฟ้าได้ไกลราว 100+ กิโลเมตร เรียกว่าใช้งานในเมือง ไปกลับจากที่ทำงาน แวะทานข้าวกับเพื่อนก่อนกลับบ้าน ก็ยังเพียงพอต่อการใช้งานแน่นอนครับ แต่อาจมีข้อพึงระวังเล็กน้อยคือ ระหว่างที่คุณขับด้วยโหลด EL แอร์ของตัวรถ เหมือนจะทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพสักเท่าไรนักครับ ไม่มั่นใจว่าเกิดจากการประหยัดพลังงานไฟฟ้า หรือเป็นระบบของทางแบรนด์ที่ปรับแต่งไว้
สำหรับเจ้า Mercedes-Benz C 350 e AMG Dynamic คันนี้ วางราคาไว้ที่ 3,350,000.- คุณจะได้ขับรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก ๆ ที่วิ่ง Pure Electric ได้ไกลหายห่วง ต่อการใช้งานในเมือง 1 วัน แต่ยังสามารถขับออกต่างจังหวัดได้สบาย ๆ แถมประหยัดพลังงานด้วยระบบการขับขี่แบบ Hybrid อีกด้วย เรียกว่าคุ้มค่าสำหรับคนที่กำลังมองหารถขนาด C-Segment คันนี้น่าจะตอบโจทย์ได้ดีทีเดียว