ถ้าพูดถึงนาฬิกา แบรนด์หลากหลายแบรนด์น่าจะผุดขึ้นในสมองของท่านผู้อ่านหลายๆ ท่าน ไม่ว่าจะเป็นแนว Streetwear อย่าง G-Shock แนว Dress Watch อย่าง Hamilton Jazzmaster Thinline หรือ Activity Tracking แบบ Garmin Fenix 5 แต่ถ้าคุณพูดถึงนาฬิกาที่มีประวัติอยู่คู่กับนักแข่งรถทางเรียบแบบ ‘Quarter Mile’ แบบฉบับ Paul Newman แล้วหล่ะก็ คุณต้องนึกถึง Rolex Cosmograph Daytona เท่านั้น
-Rolex Daytona ที่เห็นนี้เป็นรุ่นที่ 3 ปี 2011-
Rolex Daytona เริ่มต้นเป็นนาฬิกา Chronograph แบบขึ้นลานด้วยมือ
เริ่มต้นผลิตมาตั้งแต่ปี 1963 และเลือกให้นักแข่งรถชื่อดังนาม Paul Newman ใส่ลงแข่งขันในสนาม Daytona และเชื่อว่าตัวของ Paul Newman เองนั้นเลือกใส่ Rolex Daytona ทุกวันตั้งแต่ปี 1972 จนถึงวันที่เสียชีวิตในปี 2008 ซึ่งถ้าคุณอยากจะซื้อนาฬิกา Originals Version ของ Paul Newman ใส่ในชีวิตจริง แปลว่าคุณจะต้องมีเงินในกระเป๋าสุทธิราว 17.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเท่ากับ 552 ล้านบาทโดยประมาณ (จากงานประมูลนาฬิกาโดย James Cox แฟนลูกสาวของ Paul Newman ที่เขาได้มอบนาฬิกาเรือนนี้ให้) ซึ่งรหัสตัวของ Paul Newman คือ “6249” (เรือนที่ประมูลในราคาข้างต้น) และสลักหลังเรือนด้วยคำว่า “DRIVE CAREFULLY ME” สั่งซื้อโดย Joanne Woodward ภรรยาของ Paul Newman
-เรือนนี้เป็นรุ่นปกติ “หน้าขาว” ขอบ Stainless Steel-
เนื่องจาก Lot แรกที่ผลิตนั้น ผลิตในจำนวนน้อยมาก ทำให้รุ่นต่อมา Rolex เลือกใช้ตัวเครื่องจาก Zenith “El Primero”ในปี 1988 และเพิ่มปริมาณการผลิตมากขึ้น
-เรือนข้างบนจะเป็นเครื่อง Zenith รหัสเครื่อง 5 Digits-
Lot ปี 1988-1999 นั้นจะเปลี่ยนรหัสของตัวเครื่องเป็น 5 Digits เครื่อง Automatic ซึ่งใช้ตัวเครื่องแบบ 36,000 VPH สำหรับงานแข่งรถ Daytona เท่านั้น (หรือขยับ 10 ครั้งใน 1 วินาที) เราเชื่อว่ายิ่งถี่ยิ่งดี เพราะเอาไว้จับความเร็ว แต่ให้หลัง Rolex เลือกลดความถี่ลงเป็น 28,000 VPH (หรือขยับ 8 ครั้งใน 1 วินาที) เชื่อกันว่ายิ่งเครื่องเดินช้าขึ้นเท่าไร “ตัวเครื่องก็จะอยู่ได้นานมากเท่านั้น” และน่าจะเป็นสาเหตุหลักของการลดความถี่ในตัวเครื่องลงนั่นเอง
ต่อมาเป็นเครื่องจาก Rolex เองใน Lot ปี 2000 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งได้พัฒนาต่อยอดจากเครื่อง Zenith ก็คือ เครื่อง Automatic เช่นเดียวกัน รหัสเครื่องเป็น 6 Digits ที่สามารถขึ้นลานด้วยมือได้ด้วยอย่างที่เรารู้จักในรุ่นอื่นๆ ของ Rolex ที่วางขายในบ้านเรา และล่าสุดก็มีการปรับโฉมจากขอโลหะ กลายเป็นขอบเซรามิกไม่นานมานี้ เป็นรุ่นใหม่ล่าสุดนั่นเอง
ครั้งหนึ่ง Rolex ได้สนับสนุนการแข่งขัน Daytona 24 ชั่วโมง อย่างเป็นทางการ ทำให้มีชื่อเรียกกันเล่นๆ สำหรับรุ่นนี้ว่า Rolex 24 for Daytona ตั้งแต่ปี 1991 และเรียกว่า Daytona ในที่สุดจากรายการแข่งขันดังกล่าว
กล่าวกันถึงราคาสักเล็กน้อยละกันครับ สำหรับ Rolex Daytona รุ่นล่าสุดมีราคาราวๆ 6 แสนบาทครับ แต่ถ้าคุณเริ่มต้นจะซื้อมือสองอย่างรุ่นในรูปช่วงปี 2011 คุณอาจต้องกำเงินราวๆ 5 แสนบาทเลยทีเดียว ยังไม่พอครับ ถ้าคุณอยากได้เครื่อง Zenith 5 Digits ที่เป็นเครื่องเก่าช่วงปี 1988-1999 คุณอาจต้องกำเงินราว 6 แสนบาทถึงหลักล้านเลยทีเดียว แต่ยังไม่น่าตื่นเต้นเท่ากับเครื่องในรหัส 4 Digits ครับที่เราเคยเห็นผ่านๆ ตาน่าจะต้องมีเงินในกระเป๋าราว 4-6 ล้านเป็นอย่างน้อยครับ
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับว่า นาฬิกาดีๆ คุณภาพสูง อาจเพิ่มมูลค่าตัวเองได้ราว 10%-15% ต่อปี ซึ่งอย่างที่ MenDetails เคยเขียนไปเกี่ยวกับ Rolex Daytona รุ่น Paul Newman นั้น ตัวนาฬิกาเองมีมูลค่าสูงขึ้นจากวันแรกที่เริ่มขายถึง 650,000% และแค่หน้าปัด (ไม่รวมตัวเครื่องและอื่นๆ) ตัวเรือนลายเดียวกับรุ่นที่ Paul Newman ใส่ อาจมีมูลค่าสูงถึง 2 ล้านบาท ณ ปัจจุบัน นี่อาจเป็นสเน่ห์อย่างหนึ่งก็ได้มั้งครับที่นาฬิการะดับนี้ให้ได้มากกว่าแค่บอกเวลา