ช่วงนี้คงไม่มีข่าวอะไรจะมาแรงเกินไปกว่า Air Jordan XXXIII แล้วหล่ะครับ (นอกจาก iPhone XS) เพราะโมเดลนี้คือโมเดลที่สวยงามมากที่สุดโมเดลหนึ่งตั้งแต่โมเดล XXX เลยก็ว่าได้ (คนในวงการเขากล่าวมา) ซึ่งตั้งแต่ XXXI เรื่อยมาจนถึงโมเดลล่าสุดนี้ เหมือนแบรนด์ Jordan จะปรับให้ล้อกับ Air Jordan I / II และ III ดังนั้นโมเดลล่าสุดนี้จึงเลือกเอาทรงของ Jordan III มาเป็นต้นแบบนั่นเอง
อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีที่คุณคาดไม่ถึงแน่นอน
รองเท้าคู่นี้ถือเป็นอีกโมเดลหนึ่งที่พัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ และปรับให้สามารถใช้งานบนสนามบาสจริงๆ ได้อย่างดีเยี่ยม อย่างแรกเลยก็คือ “รองเท้าคู่นี้ไม่ได้ใช้เทคโนโลยี Air-Sole แล้ว” กล่าวคือพื้น Mid-Sole ด้านในของตัวรองเท้านั้นถูกปรับเปลี่ยนจาก Air-Sole และทดแทนด้วย Zoom Air Unit ซึ่งอยู่ในรองเท้าหลากหลายรุ่นของ Nike เอง แถมครั้งนี้ตัว Zoom Air Unit นั้นไม่ได้ติดตายกับตัวรองเท้า แต่เป็นเหมือน Socket ที่ขยับได้
-ส้นเท้าแบบนี้ ทรงรองเท้าลักษณะนี้ มันคือ Jordan III ชัดๆ-
“เราต้องการสร้างสิ่งใหม่ที่มากกว่าแค่ คู่นี้คล้าย Jordan I / II / III” Tate Kuerbis ผู้ออกแบบให้กับ Jordan Brand กล่าว “เราต้องการสร้างรูปแบบแห่งอนาคตของรองเท้า Basketball”
ต่อด้วย Flight Speed technology ที่ใช้รูปแบบของพื้น ‘Carbon Plate’ (คล้ายกับที่อยู่ในตัว Nike Zoom VaporFly 4%) และคาดว่ารองเท้าคู่นี้น่าจะดีดมากๆ เช่นเดียวกัน พร้อมพื้น Icy Outsole
ที่สุดของทั้งหมดคือ FastFit Technology
คุณยังพอจำรองเท้าในหนังเรื่อง Back To The Future ได้มั้ยครับ รองเท้าที่ Marty McFlys ใส่และตัวรองเท้ามันรัดตัวมันเองได้ทั้งทีที่สวม รูปแบบดังกล่าวได้ส่งต่อมาถึงรองเท้า Air Jordan XXXIII แต่ต่างกันตรงที่สำหรับคู่นี้ไม่ได้รัดแบบอัตโนมัติเท่านั้น ซึ่งทางแบรนด์ Jordan ให้นามว่า ‘FastFit’
FastFit คือการรัดด้วย Parachute Cord แบบเส้นเดียว แต่รัดได้แบบ 360 องศารอบเท้าของผู้ใส่ แถม Lock ลงไปถึงฝ่าเท้าเลยทีเดียว
-ตัว FastFit จะถูก Lock ด้วยกลไกที่กลางฝ่าเท้าตามรูปนี่แหละครับ-
-นอกจากสายรัด Parachute แล้ว ยังมีสายรัดแบบ Velcro ไว้ Lock หน้าเท้าอีกชั้นหนึ่ง-
วิธีการรัดแบบ FastFit ทำได้ง่ายๆ เพียงดึงเส้น Parachute Cord ขึ้นเท่านั้นครับ พอเราดึงขึ้น ตัวกลไกก็จะทำการ Lock และจะได้ยินเสียงคลิกเบาๆ เป็นจังหวะ อยากรัดแน่นก็ดึงเยอะหน่อย อยากใส่แบบหลวมก็ดึงเพียงเล็กน้อยก็พอ วิธีการปลด Lock ก็ง่ายแสนง่ายครับ เพียงแค่ดึงเชือกสีเหลืองสลับดำที่มีตัวอักษรกำกับว่า Eject แค่นั้นก็พอครับ
วัสดุเปลี่ยนไปค่อนข้างมาก ปรับมาใช้ Synthetic Leather และผ้าแบบ Lightweight Textile เพื่อโครงสร้างที่เบาขึ้น แต่ยังให้ Support ที่พอดี
อาจเพราะ Jordan Brand มั่นใจกับระบบ FastFit ค่อนข้างมาก ทำให้ช่วง Upper นั้นปรับเปลี่ยนมาใช้โครงสร้างที่เบาขึ้นได้ แถมยังเปลี่ยนวัสดุจากหนังแท้ทั้งหมด แทนที่ด้วย Synthetic Leather ในบางจุดอีกด้วย ถ้าทางแบรนด์ไม่มั่นใจเรื่อง 360 Lockdown ของ FastFit แล้ว คงไม่กล้าปรับวัสดุแบบนี้แน่ๆ ครับ
ระบบ FastFit ถูกคิดค้นเพื่อนักกีฬาโดยเฉพาะครับ เนื่องจากบางครั้งเวลาที่พวกเขานั่งอยู่ที่ม้านั่ง การใส่รองเท้าที่รัดแน่นตลอดเวลาอาจอึดอัดจนน่ารำคาญ การที่ผู้เล่นสามารถคลายเชือกและรัดให้แน่นได้อย่างรวดเร็ว ถือเป็นสิ่งวิเศษสุดแน่นอน และ FastFit คือคำตอบที่ดีที่สุด ณ ปัจจุบัน
สำหรับ Sizing ถือเป็นเรื่องที่ยากมากทีเดียวครับ ส่วนตัวคิดว่าอาจต้องเพิ่มขึ้นถึง 1 ไซส์เลยทีเดียว เพื่อการใส่ที่ง่ายขึ้น ระยะ Break-In จะสั้นลงครับ
สุดท้ายถ้าคุณสนใจ เราแนะนำให้คุณไปลองไซส์ด้วยตัวเองที่ร้านน่าจะดีที่สุดครับ ลองไปหยิบๆ จับๆ ได้ที่ร้าน Seek ได้เลย วางขายวันที่ 2 พฤศจิกายนนี้ สนนราคาอยู่ที่คู่ละ 7,000.- ถือเป็น Air Jordan ที่ยอดเยี่ยมที่สุดโมเดลหนึ่งเลยก็ว่าได้ครับ สไตล์ดี Design เยี่ยม ยิ่งถ้าคุณเป็นนักกีฬาด้วยแล้ว คู่นี้ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง!