ทำไมเราต้อง เซ็นชื่อ ในสลิป บัตรเครดิต
บัตรเครดิตมีระบบที่สามารถยกเลิกรายการคิดเงินกับเจ้าของบัตรได้ ในกรณีที่เจ้าของบัตรสามารถพิสูจน์ได้ว่า ตัวเองไม่ได้เป็นคนที่ซื้อสินค้านั้นจริง แต่ดันมีคนอื่นนำบัตรเครดิตของเราไปซื้อสินค้าหรือบริการดังกล่าวโดยที่เราไม่ได้อนุญาต
เมื่อมีระบบดังกล่าวเกิดขึ้น ทางร้านค้าเองจึงต้องมีการเก็บหลักฐานที่ชัดเจนเช่นกัน เพื่อยืนยันกับบริษัทบัตรเครดิตในกรณีที่คนซื้อต้องการยกเลิกรายการซื้อขาย ด้วยเหตุนี้ การ เซ็นชื่อ บัตรเครดิต คือการยืนยันตัวตนเพื่อเป็นหลักฐานให้กับร้านค้าว่าเจ้าของบัตรได้ซื้อสินค้านั้นและได้รับสินค้าไปแล้วจริง เพื่อป้องกันผู้ใช้บัตรเครดิตทำการยกเลิกรายการซื้อขายแบบมั่ว ๆ นั่นเอง
การเซ็นชื่อไม่ได้ช่วยอะไร
แม้การเซ็นชื่อจะเป็นการพยายามที่จะช่วยยืนยันการซื้อขาย แต่มันกลับไม่ได้มีประสิทธิภาพอย่างที่คาดหวังไว้นัก เจ้าของบัตรบางรายไม่ค่อยชอบเซ็นชื่อกำกับไว้หลังบัตรเครดิตของตัวเอง อีกทั้งยังมีการปลอมลายเซ็นอยู่เสมอ นอกจากนี้การเซ็นชื่อในบัตรยังเป็นการเพิ่มขั้นตอนที่ทำให้เสียเวลาโดยใช่เหตุ ไม่สอดคล้องกับการค้าขายยุคใหม่ที่ต้องการความรวดเร็วสูงสุด
แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ แม้แต่ร้านค้าเองก็ไม่ได้มีความพยายามที่จะตรวจสอบว่าลายเซ็นของลูกค้าตรงกับลายเซ็นหลังบัตรเครดิตหรือไม่ ตัวลูกค้าเองจะเซ็นชื่อมั่ว ๆ อย่างไรก็ไม่ได้เป็นปัญหาอีกต่อไปในปัจจุบัน เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วเราจะยังเซ็นชื่อหลังบัตรเครดิตกันอยู่อีกทำไม
เทคโนโลยียุคใหม่เข้ามาแทนที่
ในปัจจุบันมีการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการช่วยยืนยันตัวตนเพื่อการใช้จ่ายบัตรเครดิตอย่างปลอดภัยในหลายรูปแบบโดยไม่จำเป็นต้องมีการเซ็นชื่อในสลิปบัตรเครดิตอีกต่อไปแล้ว เริ่มตั้งแต่การผูกบัตรเครดิตกับเบอร์มือถือแล้วให้บริษัทบัตรเครดิตส่งรหัสยืนยันทุกครั้งที่มีการใช้บัตรเครดิตซื้อสินค้าและบริการบนโลกออนไลน์
หรือแม้เทคโนโลยี Big Data ที่อาศัยการตรวจสอบพฤติกรรมการใช้จ่ายบัตรเครดิตของเจ้าของบัตร จากนั้นค่อย ๆ เก็บสะสมข้อมูล ตั้งแต่พื้นที่ที่เราใช้บัตร ความถี่ในการใช้บัตร ลักษณะของสินค้าและบริการที่เราซื้อเป็นประจำ ทั้งหมดเพื่อคอยตรวจสอบเมื่อเกิดการใช้จ่ายที่ผิดแปลกไปจากพฤติกรรมปกติที่เราทำทุกวัน เพื่อให้บริษัทบัตรเครดิตสามารถระงับและติดต่อสอบถามเจ้าของบัตรได้ทันทีเมื่อสังเกตเห็นว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล
ความเป็นส่วนตัวที่หายไป
ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่มากมายทำให้เราไม่จำเป็นที่จะต้องเซ็นชื่อลงในสลิปบัตรเครดิตอีกต่อไปแล้ว อาจจะมีบางร้านที่ยังไม่ได้ปรับไปใช้ระบบแบบใหม่อย่างเต็มตัว จนทำให้ยังต้องการให้เราเซ็นชื่ออยู่บ้าง แต่ระบบดังกล่าวก็จะค่อย ๆ เลือนหายไป และในอีกไม่นานการลงชื่อในบัตรเครดิตก็น่าสูญพันธุ์ไปอย่างถาวร
อย่างไรก็ดี สิ่งหนึ่งที่จะต้องแลกกับความสะดวกสบายนั่นคือข้อมูลความเป็นส่วนตัวของเราที่สูญเสียไป เพราะเทคโนโลยีจะตามติดพฤติกรรมของเราไปทุกฝีก้าวโดยที่เราไม่รู้ตัว การใช้จ่ายของเราจะมีระบบคอยสอดส่องและมองเห็นได้ทุกเมื่อที่เขาต้องการ อีกทั้งเราจำเป็นที่จะต้องระมัดระวังและรู้ตัวให้เร็วทุกครั้งที่เราทำบัตรเครดิตหายไป ต้องรีบแจ้งและอายัดบัตรให้เร็วแบบทันทีทันใดที่รู้ตัว นั่นเพราะถึงแม้ระบบจะช่วยเราได้ระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ และการจะต้องมานั่งแจกแจงว่ารายการใดคือรายการที่เราไม่ได้ใช้จ่ายจริง ๆ ภายหลังนั้น มันเสียเวลาและไม่ได้สนุกแต่อย่างใดเลย