ในทุกก้าวของการพัฒนาวงการรองเท้า Sneakers นอกจากจะผลิตรองเท้าที่มีดีไซน์สวย ใส่สบาย ตอบโจทย์ความต้องการของผู้สวมใส่แล้ว ความยั่งยืนในกระบวนการผลิต เพื่อลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมก็สำคัญมากเช่นกัน adidas เป็นหนึ่งในแบรนด์ใหญ่ระดับโลกที่กำลังสร้างสรรค์นวัตกรรมแห่งอนาคตนี้ให้ผู้บริโภคได้มีส่วนร่วมในการเลือกซื้อสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
เมื่อปี 2015 adidas แสดงวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืนผ่านการผลิตสินค้าและอุปกรณ์กีฬา โดยมุ่งหวังจะสร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกให้กับผู้คนในสังคมและสิ่งแวดล้อม โดย Project ดังกล่าวนั้นคือ adidas x Parley ที่เลือกนำเอาขยะในท้องทะเลมาผลิตเป็นส่วนหนึ่งในตัวรองเท้ารุ่นต่างๆ ของ adidas
หลายคนคงเห็นความพยายามของ adidas ที่ผลิตรองเท้าเพื่อความยั่งยืนมาซักระยะแล้ว ทั้งรองเท้ารุ่น Ultraboost Uncaged Parley ที่ผลิตด้วยเส้นใยจากขยะพลาสติกในท้องทะเล และรุ่น FUTURECRAFT.LOOP ที่ออกมาล่าสุดปีนี้ เป็นรองเท้าวิ่งที่สามารถนำไป Recycle ได้ 100% เพียงส่งคืนกลับให้ทาง adidas แล้วทางแบรนด์จะทำการแยกชิ้นส่วน และนำไป Recycle ผลิตเป็นคู่ใหม่
“4D”
วันนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับ 4D เทคโนโลยีระดับสูงจาก adidas ที่จะมาพลิกโฉมวงการรองเท้า Sneakers ในอนาคต ด้วยพื้น Midsole โครงสร้างตาข่ายสีเขียวในรูป คือ 4D ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีการสังเคราะห์โดยใช้แสงระบบดิจิตอล (Digital Light Synthesis หรือ DLS) ใช้แสง UV และออกซิเจน เจาะผ่านของเหลว (Photosensitive Resin) เข้าไปเพื่อสร้างโครงสร้างตาข่าย และ Print พื้นรองเท้าด้วยเครื่องพิมพ์สามมิติออกมา
ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ใช้แสงและออกซิเจนในการขึ้นรูปเรซิ่น เป็นเทคโนโลยีที่ได้ Inspiration มาจากฉากสุดท้ายของหนังเรื่อง Terminator ที่ตัวร้ายที่ก่อตัวจากเหล็กเหลวนั่นแหละครับ
4D เป็นพื้นรองเท้าที่มีความยืดหยุ่นสูง น้ำหนักเบา (ถึงแม้จะไม่เบามากเท่าไรก็ตาม) เมื่อการสร้างสรรค์และออกแบบองค์ประกอบรองเท้าแบบ Digital นั้นมีข้อดี คือ ไม่ต้องสร้างแม่พิมพ์ขึ้นมาเพื่อขึ้นรูปแบบเดิม ถือเป็นประหยัดต้นทุนและวัสดุในการผลิต รวมถึงลดขั้นตอนการผลิตรองเท้าลงด้วย เมื่อขั้นตอนการผลิตลดลง ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมก็ลดลงตามไปด้วย
สิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้นวัตกรรม 4D คือ การออกแบบที่คำนึงถึงผู้ใส่เป็นหลัก เพราะทาง adidas ได้รวบรวมข้อมูลผู้ใช้และนักกีฬาจำนวนมาก โดยใช้วิธีการติดอุปกรณ์ Motion Capture ตามตัวเพื่อดูลักษณะการเคลื่อนไหวของเท้า รวมถึงรูปแบบการลงน้ำหนักของเท้า เพื่อออกแบบพื้นรองเท้าให้เหมาะกับลักษณะการใช้งาน เช่น ถ้าใครลงน้ำหนักที่ส้นเท้าเยอะ ก็ออกแบบให้พื้นรองเท้าตรงนั้นนุ่มกว่าส่วนอื่น เพื่อรองรับน้ำหนัก ซึ่ง 4D เป็นเทคโนโลยีที่ล้ำถึงขนาดกำหนดแต่ละเซลล์ของพื้นรองเท้าได้ เรียกว่า สามารถออกแบบได้ทุกส่วน แม้จะเป็นขนาดเล็กแค่ไหนก็ตาม ไม่มีอีกแล้วกับคำว่า One Size Fit All
ตอนนี้ข้อกำจัดของเทคโนโลยี 4D คงเป็นการผลิตได้จำนวนน้อยในแต่ละครั้งและราคายังสูงมากอยู่ แต่ในอนาคต เรามองว่าเมื่อไหร่ที่ adidas สร้างรองเท้าแบบ Custom Made For You ได้ทั่วโลก เพื่อตอบโจทย์กับลักษณะการใช้งานของแต่ละคน ขนาดของเท้าไม่เท่ากัน กำจัดขีดจำกัดที่มีอยู่ สามารถออกแบบและขึ้นรูปรองเท้าให้เข้ากับเท้าของคนๆ นั้นได้พอดี คงจะเป็นการพลิกโฉมและยกระดับวงการ Sneakers ครั้งใหญ่เลยทีเดียว
อ่านถึงตรงนี้แล้วชอบแนวคิด วิ่งไปจัด AlphaEdge 4D ได้เลย
AlphaEdge 4D ที่เพิ่งเปิดตัวในปี 2019 นี้ เป็นรองเท้าวิ่งทรง AlphaEdge ที่ผสมผสานกับนวัตกรรม “4D” โดยพื้นรองเท้าเป็น 4D โครงสร้างตาข่าย หน้าผ้าเป็น Primeknit กับ Forgefibre ที่มีการเย็บในแต่ละจุดเพื่อเพิ่มความทนทานในขณะเคลื่อนไหว พื้น Outsole ใช้พื้นยาง Continental ซึ่งถือเป็น Partner ที่ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาโดยตลอด