สิ่งหนึ่งที่เป็นที่น่าหลงใหลของการศึกษากางเกงยีนส์ก็คือ “รายละเอียด” กล่าวคือ รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่รวมกันจนกลายมาเป็นกางเกงยีนส์ 1 ตัวมันมีรายละเอียดที่มากมาย และเหล่าบรรดานักออกแบบทั้งหลายก็เลือกที่จะเล่นกับรายละเอียดที่ว่า ซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ยกตัวอย่างเช่น ความหยาบของเนื้อผ้า (Slubby) สีของริมผ้าเช่นริมแดง ริมชมพู ริมส้ม น้ำหนักของเนื้อผ้า เป็นต้น และหนึ่งในสิ่งที่ Designer ต่างใส่ใจในขั้นตอนการออกแบบก็คือจำนวนฝีเข็มต่อความยาว 1 นิ้ว หรือที่เรียกว่า Stitches per Inch (SPI) นั่นเอง
นี่คือรายละเอียดที่หลายๆ แบรนด์ไม่ได้พูดถึงกันนั่นก็คือการนับจำนวนฝีเข็มของการเย็บด้านในของตัวกางเกงยีนส์ และถึงแม้จะเป็นส่วนที่ผู้บริโภคไม่ได้ใส่ใจกัน แต่ทางโรงงานผู้ผลิตกับให้เวลากับรายละเอียดส่วนนี้มากเป็นพิเศษ เพราะนอกจากมันจะให้ความสวยงามจากระยะใกล้แล้ว มันยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับตัวกางเกงยีนส์ตัวโปรดของคุณด้วยเช่นกัน
ทีนี้ก็มาถึงจุดที่สำคัญจุดหนึ่งของการนับ SPI แล้วล่ะครับ สิ่งหนึ่งที่คุณควรรู้ก็คือ ยิ่งจำนวนฝีเข็มมากเท่าไรในระยะความยาว 1 นิ้ว นับว่าเป็นการตัดเย็บที่ดี (Stronger Seam) และนั่นหมายถึงฝีมือ ระยะเวลาการผลิต และราคาที่ต่างออกไป ยกตัวอย่างแบรนด์ที่เลือกใช้จำนวนฝีเข็มที่มากประมาณ 10-12 SPI ได้แก่ Roy / Stevenson Overall Co. / WH Ranch เป็นต้น และเนื่องจากระยะเวลารวมถึงราคาต้นทุนในการผลิต ทำให้หลายๆ แบรนด์กางเกงยีนส์เลือกที่จะขยับฝีเข็มให้ห่างขึ้น ตัวเลข SPI ก็จะลดลงเป็นประมาณ 7-9 SPI เท่านั้น
แต่ไม่ได้หมายความว่าการที่จำนวน SPI น้อยหมายถึงการลดต้นทุนเสียทุกครั้งไป แบรนด์อย่าง Real McCoys / Strike Gold / Flat Head ก็เลือกที่จะผลิตในจำนวน SPI ต่ำประมาณ 5-7 เท่านั้น เพื่อคงความ Vintage ไว้ให้ได้มากที่สุด (เพราะเครื่องจักรสมัยก่อนไม่สามารถผลิต SPI ได้จำนวนมากอย่างทุกวันนี้)
สิ่งที่หนึ่งที่ควรพิจารณาก็คือ “ยิ่งจำนวน SPI เยอะมากเท่าไร กางเกงก็จะมีความแข็งแรงเท่านั้น”แต่ถ้าจำนวนน้อยไม่ได้หมายความว่ากางเกงยีนส์ของคุณจะไม่แข็งแรงนะครับ มันขึ้นกับคนตัดเย็บ ความสามารถและฝีมือ การเลือกใช้ด้ายชนิดไหนในการเย็บอีกด้วย ว่าแล้วก็ลองไปหยิบกางเกงยีนส์ตัวโปรดมานั่งนับ Stitches per Inch (SPI) กันดูว่าได้จำนวนเท่าไรกันนะครับ
Credit : Heddels