ยุคนี้ หากพูดเรื่องสไตล์การแต่งตัว หลายคนคงเคยได้ยินแนวคิดที่ว่าจะแต่งตัวอย่างไรแบบไหนก็ได้ที่ตัวเองพอใจและอยากจะแต่ง แต่ในความจริงมันยังคงมีเทคนิคบางประการ การจับคู่เสื้อผ้ากับรองเท้าบางประเภทที่เหมาะสมและเข้ากันมากที่สุดอยู่ครับ ซึ่ง MenDetails เชื่อว่ามันจะช่วยเสริมให้บุคลิกภาพโดยรวม การแต่งตัวผู้ชายดูดีขึ้น ได้ครับ ชูจุดเด่นของหุ่นออกมาถูกจุดได้ครับ และสามารถดึงเทคนิคที่เป็นรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้เข้าไปปรับให้เหมาะกับสไตล์ของตัวเองได้อีกด้วย
อยากดูเป็นคนขายาว ให้เลือกกางเกงเอวกลาง – สูง
ไม่ว่ารูปร่างของเราจะเป็นอย่างไรก็สามารถใช้เทคนิคการแต่งกายช่วยหลอกตาได้เสมอครับ อยากให้ดูตัวหนาขึ้น ดูเพรียวลงก็ทำได้ทั้งหมด หรือถ้าอยากดูสูงขึ้นก็ได้เช่นกัน สิ่งสำคัญที่จะช่วยทำให้เราดูช่วงขายาวขึ้น หัวใจสำคัญอยู่ที่ การเลือกระดับเอวกางเกง ครับ
โดยรอบเอวกางเกง มีตั้งแต่ต่ำ กลาง ไปจนถึงเอวสูง ซึ่งสำหรับแฟชั่นผู้ชายส่วนใหญ่ก็มักจะนิยมเป็นเอวกลางหรือเอวปกติครับ แต่ถ้าอยากให้เราดูสูง ช่วงขายาวขึ้น แนะนำให้ลองใส่เป็นกางเกงเอวสูงดูบ้างครับ กางเกงเอวสูงที่ช่วงขากางเกงยาวขึ้นก็จะทำให้ช่วงล่างดูยาวกว่าเดิม เป็นเทคนิคให้การหลอกตาแบบหนึ่งครับ
ซึ่งรอบเอวของกางเกงนั้นก็สัมพันธ์กับเรื่อง ความยาวเป้ากางเกง หรือที่เรียกในภาษาอังกฤษว่า Rise ด้วยครับ หลาย ๆ คนน่าจะเคยได้ยินเวลาเลือกซื้อยีนส์กับคำว่า High Rise – Mid Rise – Low Rise ก็จะหมายถึงช่วงความยาวของเป้ากางเกงไปจนถึงขอบเอวนั่นล่ะครับ ควรจะเลือกให้ Rise อยู่ในระดับ Mid – High เพื่อที่จะทำให้ช่วงตัวล่างดูยาวขึ้นเสริมกับเรื่องความยาวขากางเกงครับ
ใส่เชิ้ตแขนยาวพับแขนทำให้ลุคโดยรวมดูดีกว่าเชิ้ตแขนสั้น
สำหรับรายละเอียดเรื่องแขนเสื้อก็ส่งผลให้ Total Look ออกมาดูแตกต่างได้เช่นกันครับ หากเป็นเสื้อยืดที่ผ้าแนบตัวแล้ว ใส่แขนสั้นที่ปล่อยชายแขนก็จะดูดีกว่าเสื้อแขนยาวที่พับแขนขึ้นมา เนื่องจากเนื้อผ้าของเสื้อประเภทนี้มักจะค่อนข้างบางและแนบกับช่วงแขนครับ แต่หากเป็นเสื้อเชิ้ตแล้วละก็เราแนะนำให้ใส่เป็นเชิ้ตแขนยาวแล้วพับแขนเสื้อขึ้น จะดูดีกว่าเชิ้ตแขนสั้นครับ เพราะช่วงแขนเสื้อที่ดูมี Layer หนาขึ้นมาจะไม่ทำให้แขนดูมีปีก
ซึ่งการใส่เชิ้ตแขนยาวพับแขนขึ้นก็จะดูภูมิฐานและใส่ไปร่วมงานได้หลากหลายโอกาสมากกว่าเชิ้ตแขนสั้นด้วย ส่วนวิธีพับแขนเสื้อเชิ้ตสำหรับผู้ชายนั้น เราแนะนำ 2 แบบครับ เริ่มจาก The Casual Forearm Roll ปลดกระดุมที่ปลายแขนเสื้อ จากนั้นพับปลายแขนเสื้อขึ้นประมาณ 1-2 ทบ ความกว้างของแต่ละทบจะเท่ากับความกว้างของปลายแขน Barrel Cuff ของเราพอดี ซึ่งระยะที่พับขึ้นมาก็จะยังปิดช่วงข้อศอกอยู่ครับ ไม่พับเหนือขึ้นมาจนเห็นข้อศอก
Match ชุดด้วยสี ไม่เกิน 1-3 สีในแต่ละลุค
สำหรับผู้ชายที่เพิ่งเริ่มแต่งตัวช่วงแรก หนึ่งในประเด็นเจ้าปัญหา น่าจะเป็นเรื่องสีนี่แหละครับ ควรจะใส่เสื้อสีไหนกับกางเกงสีอะไรดี เบื้องต้นเราแนะนำให้เลือกสีโทนเย็นและไม่ฉูดฉาดก่อนครับ คือ สีขาวดำ สีน้ำเงิน และ Cool Earth Tone โดยเอิร์ธโทนเป็นสีที่ได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ ตัวอย่าง สีน้ำตาล สีเบจ สีเขียว สีเทา สีฟ้า ซึ่งเราสามารถหยิบสีเหล่านี้มาแมตช์ออกมาให้ได้ 1 ลุคครับ
จะเป็นการแต่งตัวด้วย 1 สีหรือที่เรียก Monotone ก็ได้ แต่ควรจะเลือกตัวที่มีความหนักและเข้มของสีแตกต่างกันครับ เช่น หากจะใส่สีเขียวทั้งตัว ก็อาจเลือกเสื้อเป็นสีเขียวเข้ม และกางเกงเป็นสีเขียวเบจอ่อน ๆ เป็นต้น หากแมตช์ด้วย 2 สี ถือว่าเป็นการแมตช์ที่ง่ายที่สุดครับ เสื้อหนึ่งสี กางเกงอีกหนึ่งสี ตัวอย่างเช่น แมตช์เป็นเสื้อเขียวกับกางเกงเทา, เสื้อเทากับกางเกงขาว, เสื้อดำกับกางเกงสีน้ำเงิน เป็นต้น
ส่วนถ้าเป็นการแมตช์ 3 สี ก็จะเป็นเสื้อตัวในหนึ่งสี เสื้อตัวนอก ไม่ว่าจะเป็น Jacket, Blazer, Sport Coat หนึ่งสี และกางเกงอีกหนึ่งสีครับ หากหยิบสีที่เราแนะนำไปข้างต้นมาแมตช์กัน ก็จะถือว่าเป็นตัวเลือกที่ค่อนข้างเซฟแม้ว่าจะต้องเลือกถึงสามสีมาใส่ไว้ในลุคเดียวครับ ตัวอย่างเช่น เชิ้ตสีขาว Blazer สีเทาและกางเกงสีน้ำเงิน หรือ T-shirt เทา สวม Jacket สีเขียว Military ทับกับกางเกงสีน้ำตาล เป็นต้น
นอกจากนี้เรื่องโทนสียังสามารถช่วยพรางรูปร่างของเราได้อีกด้วยครับ หลักการอย่างง่าย คือ สีเข้มจะทำให้ดูเพรียวกว่าหุ่นจริง และสีอ่อนจะทำให้ดูตัวหนาขึ้นครับ เทคนิคเรื่องของสีนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ เรื่องหนึ่งที่จะช่วยทำให้ การแต่งตัวผู้ชายดูดีขึ้น ได้มากกว่าที่คิดเลยล่ะครับ
เลือกกระเป๋าและรองเท้าให้เข้าสไตล์และโอกาสที่ไปร่วม
เมื่อเลือกเสื้อผ้าเรียบร้อยก็จะมีรายละเอียดของกระเป๋าและรองเท้านี่แหละครับที่จะช่วยคอมพลีทลุคทั้งหมดของเราว่าจะออกมาดูดีและไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่ ต้องประเมินว่าเรากำลังจะแต่งตัวเพื่อไปไหนครับ เป็นการไปทำงานปกติหรือไปประชุมเพื่อพบลูกค้า ขายงานลูกค้า ไปเดทที่เป็นเดทครั้งแรก ๆ เพื่อสร้างความประทับใจ หรือไปเดทแบบสบาย ๆ เพราะคบหากันมานานแล้ว ไปเที่ยวแบบอยู่ใน Indoor หรือ Outdoor กระทั่งไปร่วมงานสังคม งานเลี้ยงฉลองต่าง ๆ เป็นงานอะไร Scale ใหญ่แค่ไหน สถานที่จัดงานคือที่ใด
เมื่อพิจารณาโอกาสในการแต่งตัวไปแล้วก็จะทำให้เราเลือกชุด พร้อมรองเท้ากระเป๋าได้เองครับ ซึ่งเราไม่อยากให้ผู้ชายทุกคนมองว่า มีกระเป๋าใบเดียวไปได้ทุกที่ หรือมีรองเท้าคู่เก่ง Sneaker หรือ Dress Shoe สักคู่แล้วแปลว่ารอด ไปได้ทุกงานทุกโอกาสครับ เพราะจริง ๆ รายละเอียดของกระเป๋าและรองเท้าแต่ละประเภทก็มีความเหมาะสมในการใช้งานอยู่ครับ
ยกตัวอย่างกระเป๋าเป้ Backpack เป็นกระเป๋าที่ทุกคนต้องมีอยู่ที่บ้าน ซึ่งเราสามารถใช้ได้ทั้งไปทำงาน เก็บสัมภาระเวลาเดินทาง ทั้งไปต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ ซึ่งการถือเป้ในสถานการณ์เหล่านี้ไม่ว่าจะแต่งตัวอย่างไรก็ไม่ผิดครับ
แต่ถ้าเป็นวันที่ไปเดทหรือออกงานแล้วเรา Dress up อย่างดี ใส่เสื้อเชิ้ต Blazer และ Trouser ก็คงดูไม่เข้ากันกับการสะพายเป้ครับ เมื่อไหร่ที่เป็นวันที่แต่งตัวเต็มยศ เราแนะนำให้ถือเป็นพวก Handbag หรือ Tote Bag มากกว่ากระเป๋าที่ต้องสะพายข้างครับ
ส่วนเรื่องรองเท้า เราแนะนำว่าผู้ชายควรจะมีรองเท้า 3 ประเภทเพื่อเอาไว้เลือกใส่ในโอกาสที่ต่างกันครับ คือ Dress Shoe, Sneaker และ Sandal ที่มีสายรัดส้น รองเท้าถือเป็นตัวจบลุคที่จะสามารถ Dress Up และ Dress Down ได้อย่างชัดเจนเลยนะครับ อย่างเช่น ถ้าวันไหนใส่เสื้อโปโลกับกางเกงชิโน่ แล้วใส่รองเท้าหนังสีน้ำตาลสักคู่ ลุคโดยรวมของเราจะยังดูเนี้ยบครับ แต่ถ้าลองเปลี่ยนเป็น Sneaker สีขาวแทนรองเท้าหนัง ลุคโดยรวมก็จะออกมาดูสบาย ๆ และเด็กลงแทนนั่นเอง
ทั้งหมดนี้คือ 4 เรื่องง่าย ๆ ที่จะช่วยทำให้ การแต่งตัวผู้ชายดูดีขึ้น ได้ครับ สามารถดึงไปปรับใช้ให้เข้ากับสไตล์ของตัวเองได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเลือกไซส์เสื้อผ้า รายละเอียดของเอวกางเกง ความยาวขากางเกง กระทั่งแขนเสื้อเชิ้ต การแมตช์สีของชุด การเลือกกระเป๋าให้เข้ากับลุคนั้น หากเราเข้าใจคีย์เวิร์ดของมันและเลือกให้เหมาะกับตัวเองแล้ว รับรองว่าเราจะเป็นผู้ชายที่ดูดีขึ้นอย่างแน่นอนครับ