ครั้งนี้ ถือเป็นการเดินทางไปรับเสื้อ Jacket ที่ตัดเสร็จเรียบร้อย จากทางห้องเสื้อ The Coller Hong Kong ซึ่งต้อเรียกว่า “เร็ว” มากกว่าห้องเสื้อจากต่างประเทศหลาย ๆ เจ้า ที่เราเคยตัดมา กับงานระดับ Bespoke ซึ่งจะมีการวัดตัด / เลือกผ้า / ลองตัว ก่อนส่งมอบ โดยเสื้อ Jacket และกางเกงที่ทางเราไปรับงานส่งมอบนั้น กินเวลาโดยรวมเพียง 4-5 เดือนเท่านั้น นับตั้งแต่มีการวัดตัวและเลือกผ้า และเหมือนทุก ๆ ครั้งที่เดินทางไปรับเสื้อ Jacket ตัวใหม่ มักจะมีความรู้สึกตื่นเต้นอยู่เสมอ ๆ รวมถึงความกังวลหน่อย ๆ ว่า เสื้อที่เราจะไปรับวันนี้เป็นอย่างไร และนี่คือ ผลลัพธ์ที่ได้ซึ่งบอกก่อนเลยครับว่า ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ว่าแล้วก็ตามพวกเราทีมงาน MenDetails มาได้เลยครับ (ส่วนใครที่ยังไม่ได้อ่านบทความก่อนหน้านี้ ลองคลิ้กอ่านดูได้ที่นี่ ก่อนเดินทางต่อในบทความนี้ครับ)
Soft Tailoring ที่เบาสบาย
โดยปกติแล้วนั้น เสื้อ Jacket ส่วนใหญ่ มักมีน้ำหนักจากหางม้า หรือ Canvas ที่ซ้อนทับกันหลายชั้น สำหรับชิ้นงานสั่งตัด ทั้งแบบ MTM หรือ Made To Measure และแบบ Bespoke และเจ้าตัวโครงสร้างดังกล่าวนั้นเอง ที่เพิ่มนำ้หนักให้กับตัวเสื้อมากขึ้น แต่สำหรับเสื้อ Jacket จากห้องเสื้อ The Coller ตัวนี้ ต้องเรียกว่า “เบามาก” และอาจเรียกว่าเป็น Jacket ที่เบาที่สุด อันดับต้น ๆ ตั้งแต่พวกเราเคยตัดมาเลยก็ว่าได้ แถมยังได้งาน Full Canvas ตามมาตราฐานงาน Bespoke อีกด้วย
ถึงแม้ตัว Jacket จะมีความเบาที่ค่อนข้างมาก แต่ยังคงให้ Shape ที่ลงตัวและโค้งสวยงามในภาพรวม มี Drape ช่วงอกที่ค่อนข้างชัด ตามสไตล์ Florentine Cut ผนวกกับผ้าที่ค่อนข้างเด้ง ส่งให้ทรงของเสื้อออกมาสวยงามและลงตัว โดยเฉพาะงานเข้าหัวแขนซึ่งตัดเย็บได้สวยงามจนน่าตกใจ ไม่บ่อยเลยนะครับ ที่เราจะเห็นงานเข้าแขนที่เรียบและสะอาดได้ขนาดนี้
กางเกงทรงตรง เอวสูง
ครั้งนี้ เราเลือกตัดกางเกงสีเทาเพิ่มเติมอีก 1 ตัวครับ ซึ่งเป็นสีเทากลาง ๆ สวมใส่ง่าย และใส่ได้หลากหลายโอกาส ซึ่งทรงที่เราเลือก จะเป็นสไตล์ House Cut ของทางห้องเสื้อโดยเฉพาะ แน่นอนว่าจะมาในทรงเอวสูง ไม่มี Side Adjuster แบบ Belt แต่ทางห้องเสื้อเลือกใส่มาเป็นกระดุมปรับเอวแทน ด้านหน้าเป็น Extended Button มีจีบคู่ด้านหน้า ทรงกางเกงเป็นทรงตรงเลยครับ มีการปรับช่วงปลายขาให้ใหญ่ขึ้นจากรอบ Fitting เพื่อให้เข้ากับทรงของขามากขึ้น และถึงแม้ว่าจะใหญ่สักหน่อย แต่ตัดออกมาได้สวยงามเลยทีเดียว
กางเกงทิ้งตัวสวย ตัดความยาวกางเกงมาในตำแหน่งที่ค่อนข้างลงตัว ถือเป็น Bespoke Trousers ที่สวยงาม แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ไม่ค่อยคุ้มชินกับทรงกางเกงที่ใหญ่หน่อย อาจรู้สึกแปลกพอสมควรครับสำหรับทรงกางเกงที่เห็นอยู่ในรูป แต่เนื่องจากว่าทางห้องเสื้อตัดเป็นแบบ Bespoke ดังนั้นคุณสามารถเลือกสั่งตัดได้ตามต้องการ แต่หากให้พวกเราแนะนำว่าควรตัดแบบไหนดี MenDetails แนะนำให้ลองตัดกางเกงทรงใหญ่สักหน่อย เพื่อให้การเคลื่อนไหวสะดวกขึ้น และสวมใส่สบายขึ้นด้วยเช่นกัน
Holland & Sherry Fabric
ผ้าที่ทางเราเลือกตัดในครั้งนี้ คือ ผ้าจาก Holland & Sherry ทั้งหมดครับ ทั้งเสื้อแจ็คเก็ต และกางเกง โดยเลือกผ้าจากเล่ม Crystal Springs มาตัดเป็นเสื้อแจ็คเก็ต รหัส 4723101 ส่วนผสมของผ้าจะเป็น Wool / Silk / Linen หนักอยู่ราว ๆ 240g ซึ่งถือเป็นผ้าที่ค่อนข้างเบา และได้ความโปร่ง ระบายอากาศได้ดีจาก Linen ความเด้งของ Silk และ Wool ที่ลดการยับของผ้าได้ค่อนข้างดี ส่งผลให้ตัวผ้ามีความเบา และนุ่มเด้งเป็นพิเศษ ซึ่งด้วยน้ำหนักของผ้า ทำให้การเพิ่มโครงสร้างที่มากเกินความจำเป็นนั้น ลดทอนความพิเศษของผ้าลง ส่งผลให้ The Coller เลือกตัดด้วย Canvas ที่น้ำหนักเบา และลดทอนรายละเอียดช่วง Chest Canvas ลง เพื่อคงคุณสมบัติสุดพิเศษของผ้า Crystal Springs ไว้ให้ได้มากที่สุดนั่นเอง
ส่วนกางเกงนั้น เราเลือกใช้ผ้า Crispaire ซึ่งมีน้ำหนักสักหน่อย ราว 300g กับผ้า Wool Worsted ที่ป้องกันการยับได้เป็นอย่างดี แถมมีเอกลักษณ์ของตัวผ้าที่นุ่มลื่น สวมใส่ง่าย ซึ่งรวมเข้ากับทรงตรง ๆ ของทางร้านที่ตัดออกมา ช่วยทำให้ตัวกางเกงทิ้งตัวสวย เคลื่อนไหวง่าย ยิ่งมาในสีเทากลาง ๆ ด้วยแล้ว ยิ่งสามารถหยิบมาสวมใส่ได้หลากหลายครับ เรียกว่าเป็น Odd Trousers ที่น่าสนใจมาก ๆ สำหรับใครก็ตามที่อยากสั่งตัดแยก เพื่อการจับคู่ที่สนุกมากยิ่งขึ้นกับ Odd Jacket สักตัวในอนาคต
ความรู้สึกหลังได้สวมใส่
สำหรับเสื้อ Jacket ของทาง The Coller ที่ตัดมาในรูปแบบ Florentine Cut นั้น ส่วนตัวคิดว่าอาจมีบางจุดที่ไม่เหมือน Florentine ซะทีเดียว ยกตัวอย่างเช่น ช่วง Side Dart ที่ตัดตรง ๆ ลงมาเหมือนการเอาเส้น Dart ของ Neapolitan เส้นด้านหน้าออกไป ซึ่งแน่นอนว่า ตัว Jacket ก็จะมีความ Boxy ที่มากขึ้น ช่วงตัวจะหลวมขึ้น เพราะไม่มีการเก็บเข้าเอวเฉกเช่นงานสไตล์อังกฤษหรือนาโปลี ช่วงไหล่เป็น Extended Shoulder ซึ่งทำออกมาได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว ตัดช่วงแขนแบบ High Armhole เพื่อให้การขยับตัวนั้น ทำได้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น และจุดที่น่าชื่นชมเป็นพิเศษคงเป็นช่วยหัวแขน หรือหัวไหล่ ที่ต่อมาได้สวยงาม มี Drape ช่วงอกที่กำลังดี ซึ่งทางห้องเสื้อปรับมาให้ หลังจากที่รอบแรกมีเยอะเกินจำเป็นไปบ้าง
สวมใส่เบาสบายมาก ๆ ครับ โดยมีองค์ประกอบ 2 อย่างที่ทำให้ตัว Jacket มีความเบาระดับนี้ นั่นก็คือ ตัวผ้าที่นำมาตัดนั้น มีน้ำหนักที่ค่อนข้างเบา ผนวกกับโครงสร้างภายในที่บางเบาเช่นกัน ซึ่งต้องใช้ความสามารถของช่างผู้ตัดมากพอสมควรเลยครับ ซึ่งตัวนี้อยู่ในงาน Red Label Line โดยผลิตในฮ่องกงทั้งหมด ตั้งแต่ต้นจนจบ เรียกว่าได้ง่ายคุณภาพสูงเลยทีเดียว อีกทั้งยังได้ Tailor จากฝั่งเกาหลี มาช่วยเพิ่มเติมรายละเอียด ให้ทรงโดยรวมออกมาสวยงามอย่างที่เห็นด้วยเช่นกัน แต่อาจมีติเล็กน้อยตรงความยาว ซึ่งตัดออกมาแล้วด้านหน้าแอบยาวไปสักหน่อย แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่อะไรมากครับ แต่ที่มีผลต่อความรู้สึกเวลาสวมใส่เลยก็คือ ตัว Jacket ที่โครงสร้างเบาแบบนี้ มักจะโอบกอดเราได้ไม่ดีสักเท่าไรนัก หากเทียบกับโครงสร้างที่หนักและจัดเต็มกว่านี้
ตัวกางเกงถือว่าตัดได้ดีเลยครับ ทรงค่อนข้างตรงและกว้าง ซึ่งอาจไม่ใช่สไตล์ของหลาย ๆ คน แต่ถ้าทุกท่านเลือกใส่กางเกงมาถึงระยะหนึ่ง จะพอเข้าใจว่า ทรงใหญ่หรือกว้าง ไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด เพียงแค่เราไม่ชินกับความรู้สึกเท่านั้นเอง ส่วนตัวชอบการปรับเอวแบบกระดุมนะครับ ได้ความเรียบร้อยมากขึ้น อาจไม่สะดวกเหมือนรูปแบบเข็มขัด แต่ก็ใช้งานได้ดีเยี่ยมเช่นเดียวกัน
งานตัดเย็บของห้องเสื้อ The Coller จากฮ่องกง ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจมาก ๆ นะครับ และที่สำคัญเลยคือ ตัวเขาเองจะมา Trunk Show ในไทยค่อนข้างถี่ ราว ๆ 2 เดือนบินมาครั้งหนึ่ง เรียกว่าสะดวกต่อการลองตัว Fitting สัก 2 ครั้งก็ไม่เสียหาย กินเวลาราว 6 เดือน สำหรับสูท 1 ชุด ที่ราคาเริ่มต้นอยู่ราว 40-50k โดยประมาณ ขึ้นอยู่กับผ้าที่เราเลือกด้วยเช่นกัน บอกเลยว่าคุ้มค่ามากครับ สำหรับคนที่สามารถรอได้ และไม่จำเป็นต้องตัดกับห้องเสื้อชื่อดังหลาย ๆ เจ้า สำหรับราคาระดับนี้ ตัวเลือกอย่าง The Coller ถือเป็น Sweet Spot ที่น่าลงทุนเลยทีเดียว ใครสนใจก็ รอติดตามรายละเอียดการ Trunk Show ครั้งต่อไปได้ที่ Instagram ของทาง The Coller ได้เลยครับผม