คำว่า “เงินเก็บเพื่อวัยเกษียณ” อาจเป็นคำแสลงของใครหลายๆคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ชายที่ยังใช้เงินแบบ “เดือนชนเดือน” และยังไม่ได้เริ่มเก็บเงินอย่างเป็นชิ้นเป็นอันเสียที MenDetails แนะนำให้เริ่มเสียตั้งแต่วันนี้เลยจะดีกว่านะครับ แต่สำหรับใครที่เริ่มต้นเก็บหอมรอมริบบ้างแล้ว เราก็ขอแสดงความยินดีด้วย แต่คำถามที่ตามมาก็คือ “แล้วเราควรจะมีเงินเก็บเพื่อการเกษียณอายุของตัวเองเท่าไหร่กันแน่?” วันนี้ MenDetails มีข้อสังเกตและข้อเสนอมาให้พวกเราได้ลองพิจารณากันครับ
สมมติฐาน ‘อยู่อีก 20 ปี แล้วก็ตาย’
เมื่อพูดถึงการเก็บเงินเพื่อการเกษียณอายุของตัวเองนั้น คำแนะนำที่เรามักจะได้ยินได้ฟัง หรือได้อ่านผ่านตาอยู่บ่อยๆนั่นก็คือ การคิดถึงจำนวนเงินที่ต้องเก็บด้วยการเอาค่าใช้จ่ายรายเดือนของตัวเอง คูณกับจำนวนเดือนที่ตัวเองคิดว่าจะอยู่จนกระทั่งเสียชีวิตลงในที่สุด ซึ่งสมมติฐานที่ว่านั้นก็คือ 20 ปี หรือ 240 เดือน นับง่ายๆจากวันเกษียณอายุในวัย 60 ปี ไปจนถึงอายุขัยเฉลี่ยของคนเราที่ 80 ปีนั่นแหละครับ
ตัวอย่างเช่น หากเราคิดว่า เราจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ด้วยเงินเดือนประมาณ 50,000 บาทต่อเดือน เมื่อคูณกับจำนวน 240 เดือน แปลว่าเราควรมีเงินเก็บทั้งหมด 12 ล้านบาทถ้วนเมื่อเราอายุครบ 60 ปีนั่นเอง
แต่สมมติฐานนี้มีปัญหาในการคิดเช่นกัน อย่างแรกก็คือ รู้ได้อย่างไรว่าตัวเองจะตายตอนอายุ 80 ปี พอดีเป๊ะ? หากว่าเราตายก่อนหน้าอายุครบ 80 ปีก็ถือว่าดีไป เงินที่ใช้ไม่หมดก็ทิ้งไว้เป็นมรดกต่อไป แต่ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ที่เจริญมากขึ้น ก็มีความเป็นไปได้เช่นกันที่เราจะอยู่ได้นานกว่า 80 ปี ซึ่งหลังจากนั้นล่ะ? เราจะทำอย่างไร? เราจะใช้เงินที่ไหน?
เราหยุดทำงาน แต่เงินไม่ได้หยุดทำงานให้เรา
ความจริงแล้วการตั้งสมมติฐานข้างต้นมีประโยชน์อย่างยิ่งในการคำนวณคร่าวๆถึงจำนวนเงินที่เราควรมี แต่สมมติฐานดังกล่าวมีช่องโหว่ใหญ่ๆ อยู่อย่างหนึ่งนั่นก็คือ เราตั้งขึ้นมาโดยอยู่บนความคิดที่ว่า เงินหยุดทำงาน และไม่มีผลตอบแทนอะไรเกิดขึ้นเลยในแต่ละปี ซึ่งเอาเข้าจริงจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อเราถอนเงินออกมานอกธนาคารทั้งก้อน แล้วค่อยๆทยอยใช้จนหมด ทว่าในความเป็นจริงนั้นเมื่อตัวคนเราถึงวัยเกษียณและไม่ได้ทำงานที่มีรายได้อีกต่อไปแล้วเนื่องจากอายุที่มากขึ้น แต่ “เงิน” ที่เราเก็บได้นั้น มันยังคงสามารถ “ทำงาน” เพื่อหารายได้เพิ่มเติมให้เราได้อยู่ โดยไม่จำเป็นต้องหยุดแต่อย่างใด
เพราะฉะนั้นถ้าหากคุณเป็นคนที่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของการเงินและการลงทุน การนำเงินที่ตัวเองเก็บได้ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ และให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ อย่างเช่น พันธบัตร และ ตราสารหนี้ประเภทต่างๆ ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ได้ยากเกินความสามารถ และเหมาะสมกับพอร์ตการลงทุนของผู้สูงอายุอีกด้วย
หากวัดเอาจากสมมติฐานข้างต้นเป็นเกณฑ์ เงิน 12 ล้านบาทที่สามารถหาผลตอบแทนได้ประมาณ 5% ต่อปี จะสร้างเงินเพิ่มได้อีก 600,000 บาทต่อปี หรือ 50,000 บาทต่อเดือน ซึ่งเท่ากับตัวเลขรายได้ที่เราต้องการใช้ในแต่ละเดือน โดยที่ไม่ต้องแตะ “เงินต้น” จำนวน 12 ล้านที่เราเก็บได้เลยด้วยซ้ำไป
“เงินเฟ้อ” มหันตภัยร้าย ทลายโลก (ของเงินออม)
ถึงจุดนี้บางคนอาจกำลังคิดในใจว่า “คุณลืมเรื่องเงินเฟ้อไปหรือเปล่า? เงินของเรามันก็ลดค่าลงทุกปีนะ?” MenDetails ขอเรียนว่าเราไม่ได้ลืมหรอกครับ การคิดลดเรื่องเงินเฟ้อย่อมเป็นสิ่งที่เราควรทำอยู่แล้ว เพราะเงินเดือนเดือนละ 50,000 บาท อาจจะพอในวันนี้ แต่อาจจะไม่พอในอีก 10 ปีข้างหน้าก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามคอนเส็ปต์เรื่องเงินเฟ้อก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความเป็นจริงที่ว่า การส่งเงินออกไปทำงานอย่างต่อเนื่องในวัยหลังเกษียณ ย่อมเป็นเกราะป้องกันชั้นดีที่จะช่วยให้เงินออมในวัยเกษียณของเราไม่หมดลงง่ายๆก่อนเวลาอันควร และยังสามารถยืดหยัดต่อสู้กับเงินเฟ้อได้ดีกว่าการปล่อยให้เงินก้อนของเรานอนแช่แป้งอยู่ในบัญชีเงินฝากปกติ แล้วก็ถอนออกมาใช้เป็นก้อนๆ รอวันที่จะหมดลงไปอย่างรวดเร็วนั่นเองครับ
บทสรุป
การคิดคำนวณว่าเราควรจะมีเงินออมมากแค่ไหน เมื่อถึงวัยที่เราจะหยุดทำงาน และไม่ได้มีรายได้ประจำอีกต่อไปนั้น จึงไม่ใช่แค่เรื่องของคำถามว่า “มีเท่าไหร่ถึงจะพอ” เพียงอย่างเดียว แต่สิ่งที่สำคัญมากๆ อีกอย่างหนึ่งก็คือ “มีอย่างไรถึงจะพอ” อีกด้วย MenDetails เชื่อว่าเราควรจะมีเงินออม พร้อมทั้งมีความรู้ความเข้าใจในการบริหารจัดการเงินควบคู่ไปด้วย เพื่อให้เงินออกไปทำงานหารายได้แทนเรา ควรจำไว้ว่า “เราหยุดทำงานได้ แต่เงินไม่จำเป็นต้องหยุดทำงานให้เรา” การมีความรู้ในเรื่องของการลงทุนจะช่วยสร้างเกราะป้องกัน ที่จะทำให้เงินเก็บในวัยเกษียณของเราไม่หายไปอย่างรวดเร็วนัก ช่วยให้เรายืนหยัดต่อสู้กับเงินเฟ้อได้นานขึ้น แถมยังทำให้เรามีเงินพอใช้ต่อเนื่องไปได้เรื่อยๆ ถ้าคุณโชคดีอายุเกิน 80 ปีแบบที่เคยตั้งสมมติฐานไว้ว่าจะตายนั่นเองครับ
คำถามสำคัญจึงมีอยู่สองข้อได้แก่
- เราเริ่มเก็บเงินเพื่อการเกษียณของตัวเองแล้วหรือยัง?
- เรามีความรู้ในการบริหารเงินและการลงทุนที่ถูกต้องอย่างเพียงพอแล้วหรือไม่?
MenDetails หวังว่าผู้อ่านทุกท่านจะตอบว่า “ใช่” ทั้งสองข้อนะครับ