“มีเงินนับเป็นน้อง มีทองนับเป็นพี่” ประโยคนี้ให้ความหมายของคำว่า “เงิน” และ “ทอง” แตกต่างกัน แม้จะซับซ้อนนิดหน่อยเพราะคำว่า “เงิน” มีความหมายได้ทั้งแร่เงิน (Silver) และเงินตรา (Currency) ที่หมุนเวียนในตลาดอย่างเช่น เงินบาท, เงินหยวน หรือ เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ก็ตามที แต่ประโยคดังกล่าวเป็นการสะท้อนความเชื่อลึก ๆ ว่า “ทอง” มีคุณค่ามากกว่าและจะให้ผลตอบแทนที่เราเรียกกันติดปากว่า “กำไร” ได้ในระยะยาว แต่ความจริงเป็นเช่นนั้นหรือเปล่า? MenDetails ขอมาวิเคราะห์เรื่องนี้ให้อ่านกันครับ
ทองคำ ไม่มีกำไร ?
นิยามของคำว่า “กำไร” สำหรับบางคนอาจไม่ได้ยุ่งยากซับซ้อน เพียงแค่เราสามารถขายของบางอย่างให้มีราคาสูงขึ้นกว่าที่ซื้อมา เท่านี้ก็เรียกว่า “ได้กำไร” แล้ว ซึ่งการมองที่ “ราคา” เป็นหลักแบบนี้ เป็นการมองที่ง่ายเพราะมีตัวเลขเป็นดัชนีบ่งบอกชัดเจน แต่หากเรามองคำว่า “กำไร” ให้ลึกกว่านั้น มันจะมีสิ่งที่เรียกว่า “เงินเฟ้อ” แฝงอยู่ด้วยเสมอ และกำไรที่แท้จริงจึงควรจะเป็นส่วนที่สูงกว่าเงินเฟ้อ เพื่อให้คำว่า “กำไร” สร้างมาตรฐานการครองชีพที่ดีขึ้นหรือมากขึ้นกว่าเดิมได้จริง
ในปี พ.ศ.2508 ทองคำน้ำหนัก 1 บาท มีราคาซื้อขายเป็นเงินบาทที่ 400 บาท ซึ่งเป็นจำนวนที่เราสามารถนำไปแลกซื้อก๋วยเตี๋ยวในประเทศไทยเพื่อกินให้อิ่มท้องที่ราคาชามละ 0.50 บาท ได้จำนวนประมาณ 800 ชาม จำนวนก๋วยเตี๋ยว 800 ชามดังกล่าวถือเป็นมาตรฐานการครองชีพที่เราควรนำมาพิจารณาด้วยว่า “ทองคำ” ที่เราซื้อเก็บไว้นั้น มีกำไรหรือไม่เมื่อเวลาผ่านไป ไม่ใช่ดูแค่ราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นเพียงอย่างเดียว
ทองคำน้ำหนัก 1 บาท ในปี พ.ศ. 2566 มีราคาสูงขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 34,000 บาท จากเหตุการณ์สงครามและความรุนแรงคุกรุ่นทั่วโลก ซึ่งหากเราพิจารณา “กำไร” ในเชิงของราคาที่เป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นเพียงอย่างเดียว (Number goes up) อาจทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นดีใจ เพราะราคาทองคำน้ำหนัก 1 บาท ขยับตัวสูงขึ้นจาก 400 บาท กลายเป็น 34,000 บาท หรือสูงขึ้นถึงกว่า 8,000% ภายในช่วงเวลา 58 ปี
แต่หากเราหยุดความตื่นเต้นดีใจนั้นไว้ก่อน แล้วฉุกคิดสักนิดว่า เราสามารถนำเงิน 34,000 บาท ไปแลกซื้อก๋วยเตี๋ยวในปี พ.ศ.2566 ได้จำนวน 800 ชามเท่ากับปี 2508 หรือเปล่า? เรื่องนี้คำนวณด้วยการนำจำนวนเงิน 34,000 บาท ไปหารด้วยจำนวนก๋วยเตี๋ยว 800 ชาม จะได้ราคาเฉลี่ยของก๋วยเตี๋ยวชามละ 42.50 บาท จะพบว่าตัวเลขราคาก๋วยเตี๋ยวดังกล่าวยัง “พอหาซื้อกินได้” แต่ก็เริ่มจะยากเต็มที เพราะในปี พ.ศ. 2566 ราคาก๋วยเตี๋ยวหลาย ๆ ที่ก็ขยับไปเป็น 50-60 บาทเรียบร้อยแล้ว
อ่านถึงตรงนี้ ลองถามใจตัวเองดูดี ๆ ว่า แม้ราคาของทองคำจะขึ้นมาถึง 8,000% แต่สุดท้ายเรานำแร่สีเหลืองสะท้อนแสงชนิดนี้มาขายแลกเป็น “อาหาร” มาประทังชีวิตได้เป็นจำนวนเท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง (หรือเผลอ ๆ อาจจะน้อยกว่าเดิมด้วยซ้ำไป) เช่นนี้แล้วเราจะเรียกว่าเราได้ “กำไร” จากการถือทองคำมาตลอด 58 ปี จริงหรือไม่? กำไรที่แท้จริงไม่ควรจะเป็นเพียงการเพิ่มขึ้นของตัวเลข แต่ควรเป็นมาตรฐานการครองชีพที่เพิ่มขึ้น, ดีขึ้นและได้มากขึ้นกว่าเดิมด้วยหรือเปล่า?
อย่างไรก็ยังดีกว่าถือ “เงินบาท” ไว้เฉย ๆ
แม้เราจะตั้งชื่อบทความว่า ทองคำ ไม่มีกำไร แต่อย่าเพิ่งเข้าใจผิดคิดว่าเราไม่ชอบทองคำหรือคิดว่าทองคำเป็นสิ่งที่ไม่คุ้มค่า กลับกันเรายังคงเชื่อว่า ทองคำจะยังคงรักษามูลค่าและมี “ตัวเลขราคา” ที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ได้ในอนาคต แต่สิ่งที่เราอยากเสนอความเห็นก็คือ แนวโน้มราคาของทองคำที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายพันปี จะขยับขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อที่แท้จริงในระยะยาว ทองคำจะช่วยรักษา “มาตรฐานการครองชีพ” ของผู้ที่ถือครองมันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเงินตราหรือ Currency ที่จะถูกตัวเลขเงินเฟ้อกัดกินจนร่อยหรอ
เพราะหากเราเลือกที่จะนำเงินตราจำนวน 400 บาทไปแลกเป็นทองคำ 1 บาทในปี 2508 อย่างน้อยเราก็ยังมีก๋วยเตี๋ยว 800 ชามรอให้เรากินได้เช่นเดิมในปี 2566 แต่ถ้าเราเลือกถือเงินตรา 400 บาทไว้เฉย ๆ เงินจำนวนดังกล่าวคงซื้อก๋วยเตี๋ยวได้ไม่ถึง 10 ชามแล้ว
อย่างไรก็ดี ไม่มีใครสามารถหยั่งรู้อนาคตได้ว่าจะเป็นอย่างไร ราคาทองคำอาจวิ่งแซงเงินเฟ้อไม่เห็นฝุ่น หรืออาจจะลดลงเมื่อมนุษย์ค้นพบสิ่งที่รักษามูลค่ามาตรฐานการครองชีพของตัวเองได้ดีกว่าทองคำ แต่จะว่าไปตลอดระยะเวลา 58 ปี ตั้งแต่ 2508 ถึง 2566 ประโยคที่เราพูดไว้ในตอนแรกว่า “มีเงินนับเป็นน้อง มีทองนับเป็นพี่” ก็อาจไม่ได้ผิดจากความเป็นจริงสักเท่าไหร่นัก