Gin (จิน) ถือเป็นเครื่องดื่มอีกหนึ่งชนิดที่หลายคนโปรดปราน โดยเฉพาะเมื่อนำไปผสมกับ Tonic กลายเป็น Gin Tonic เครื่องดื่มสุดคลาสสิกที่มีมาตั้งแต่สมัยอังกฤษล่าอาณานิคมที่อินเดีย และด้วยเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครของ Hendrick’s Gin จึงทำให้กลายเป็นแบรนด์เครื่องดื่ม Gin อันดับต้น ๆ ที่ครองใจนักดื่มหลายคนทั่วโลก MenDetails.com ขอพาทุกท่านย้อนกลับไปดูความเป็นมาและความโดดเด่นของแบรนด์ Hendrick’s Gin พร้อมทั้งพาไปรู้จักกับ Hendrick’s Orbium Gin ตัวใหม่ว่าแตกต่างจากตัวปกติอย่างไร รวมถึงเหมาะจะดื่มผสมกับอะไรเพื่อให้นักดื่มทั้งหลายได้สัมผัสประสบการณ์ที่น่าประทับใจที่สุดด้วย
Hendrick’s Gin แบรนด์ที่กำเนิดจากส่วนผสมที่แตกต่างจากเจ้าอื่นในตลาด
ด้านซ้ายของรูป คือ William Grant กับลูกชาย John Grant
เราเชื่อว่านักดื่มหลายคน น่าจะรู้จัก William Grant & Sons ธุรกิจครอบครัวที่ก่อตั้งโดยนาย William Grant ในปี 1886 เริ่มจากโรงกลั่น Glenfiddich ที่เริ่มผลิต Single Malt ออกมาในปี 1887 และยังเป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่ที่ครองส่วนแบ่งทางการตลาดของ Scotch Whisky ในปัจจุบัน
แต่ที่หลายคนอาจยังไม่รู้ คือ นอกจาก Single Malt ขึ้นชื่ออย่าง Glenfiddich พวกเขายังเป็นเจ้าของ Hendrick’s Gin ด้วย โดยเรื่องราวเริ่มขึ้นใน 1966 เมื่อ Charles Gordon ลูกเขยของวิลเลียม หนึ่งในผู้บริหารที่ภายหลังได้รับเกียรติให้เป็นประธานบริษัทตลอดชีพ ไปประมูลเครื่องกลั่นทองแดงสุดหายากมาได้สองเครื่อง คือ Carter-Head Still ปี 1948 กับ Bennett Still ปี 1860 เพราะเชื่อว่านี่คือโอกาสหายากเพียงครั้งเดียว
ในช่วงปี 1977 ที่ Gin กำลังได้รับความนิยมทั่วเกาะอังกฤษ William Grant & Sons เข้ามาร่วมในตลาดด้วย แต่ผลออกมาไม่โดดเด่นนักเพราะคู่แข่งมีจำนวนมาก หลังจากนั้นราว 10 ปี Charles Gordon เริ่มกลับมาคิดอย่างจริงจังว่าจะทำอย่างไรกับเครื่องกลั่นสุดหายากที่ซื้อมาในอดีต เพราะเขาคิดว่า William Grant & Sons มีศักยภาพมากพอที่จะสร้าง Gin เชื้อสายสก็อตที่ยอดเยี่ยมออกมาได้อย่างแน่นอน
และเป็นช่วงเวลานั้นเองที่เหล่าจิ๊กซอว์แต่ละชิ้นเริ่มมารวมกัน โดยชิ้นส่วนที่สำคัญที่สุด คือ นักเคมีสาวจาก Yorkshire ชื่อ Lesley Gracie ที่มาร่วมทีมเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ และ David Stewart Master Blender คนสำคัญของบริษัท
David Stewart ได้แรงบันดาลใจขณะที่เขากำลังนั่งกินแซนวิชแตงกวาอยู่ในสวนที่เต็มไปด้วยดอกกุหลาบ แล้วสงสัยว่า Gin ที่มีกลิ่นของกุหลาบและแตงกวาจะเป็นอย่างไร เมื่อเขาเสนอไอเดีย Lesley Gracie ที่สนใจในเรื่องกับเกี่ยวกับพืชพันธุ์อยู่แล้ว จึงเริ่มทำการทดลอง
Charles Gordon และโรงกลั่นที่เมือง Girvan ที่สกอตแลนด์
หลังจากการทดลองเป็นเวลาหลายปี ผู้ผลิตจากสกอตแลนด์รายนี้ก็เปิดตัว Hendrick’s Gin ในปี 1999 โดยผลิตขึ้นในเมือง Girvan ใช้วิธีผลิตแบบ Hand-Crafted จำกัดจำนวนการผลิต batch ละ 500 ลิตรเท่านั้น เพราะเป็นปริมาณที่จะทำให้ได้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด ตั้งแต่นั้น Hendrick’s Gin กลายเป็น Gin รูปแบบใหม่ที่แตกต่างจาก Gin ในตลาด ซึ่งได้รับความนิยมและคนคุ้นเคยกันมาตลอด การจับคู่กันของวัตถุดิบที่ไม่ใช่ Juniper Berry แต่กลับกลายเป็นกุหลาบและและแตงกวา ทำให้นักดื่มได้ค้นพบการเดินทางในทิศทางใหม่ ๆ ที่ไม่จำเจ
สำหรับชื่อแบรนด์ Hendrick’s Gin นั้นถูกตั้ง Janet Roberts หลานสาวของ William Grant ที่เธอหยิบยืมชื่อคนสวน Hendrick ผู้ดูแลดอกไม้เฉพาะดอกกุหลาบมาเป็นชื่อแบรนด์ เธอมองว่าชื่อนี้สะท้อนถึงตัวตนและเอกลักษณ์ของเครื่องดื่มที่มีกลิ่นหอมของดอกไม้ในสวนพันธุ์ไม้อังกฤษได้เป็นอย่างดี
เอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครของ Hendrick’s Gin
ความพิเศษที่ไม่เหมือนใครของ Hendrick’s Gin อยู่ที่ส่วนผสมที่แปลกใหม่ โดยปกติแล้ว Gin ทั้งหลายจะใช้ Juniper berry เพื่อสร้างกลิ่น แต่ David Stewart กับ Lesley Gracie ร่วมกันสร้างสรรค์สูตร Gin ใหม่ที่แตกต่างออกไป คือ หลังจากกลั่นจากเครื่องกลั่น 2 เครื่องเข้าด้วยกันแล้วก็ได้ ผสมแตงกวา และ กลีบดอกกุหลาบ รวมถึงพืชพันธุ์อีก 11 ชนิดจากทั่วโลกลงไป โดยใช้เวลาพัฒนาหลายปีเพื่อให้ออกมาได้กลิ่นที่ทั้งสองคนเห็นพ้องต้องกันว่า “สมบูรณ์แบบ” โดยเป็นกลิ่นที่ Charmaine Thio Brand Ambassador ของแบรนด์กล่าวว่า ให้ความสดชื่นแต่ก็มีความซับซ้อนอยู่ในนั้น
แตงกวาและกุหลาบที่ผสมอยู่ใน Gin เป็นสิ่งที่สะท้องถึงสวนพันธุ์ไม้ตามแบบฉบับของชาวอังกฤษ ทำให้เมื่อดื่มเราสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความเป็นอังกฤษตามที่แบรนด์ตั้งใจไว้
ความพิเศษของส่วนผสมส่งผลให้เวลาเอา Hendrick’s Gin มาทำเป็น Cocktail โดยเฉพาะ Gin Tonic ทางแบรนด์แนะนำให้ใส่แตงกวาลงไป แทนที่จะตกแต่งด้วยซิตรัสแบบที่หลายคนคุ้นเคย เพื่อจะได้ช่วยดึงให้กลิ่นความสดชื่นของแตงกวาที่เป็นส่วนผสมเด่นขึ้นมา ฉะนั้นเมื่อเริ่มวางขายในท้องตลาด จึงดึงความสนใจนักดื่มได้เป็นอย่างมาก
การฉลองเฉลิมและกิจกรรมจาก Hendrick’s Gin ในวัน Cucumber Day
นอกจากกลิ่นและรสแล้ว ตัวขวดก็มีเอกลักษณ์ไม่แพ้กัน เพราะ Hendrick’s Gin ใช้ขวดและไหสีทึบที่มีลักษณะเหมือนขวดยาที่หมอยุค Victorian ของอังกฤษใช้ เมื่อบรรจุภัณฑ์มีความหรูหราขึ้น ตัวขวดแตกต่างจากขวดวิสกี้ จึงกลายเป็นต้นแบบให้ Gin แบรนด์อื่น ๆ เริ่มหันมาใช้ขวดสีทึบในลักษณะเดียวกัน
การเลือกใช้ขวดแบบยุค Victorian ยังส่งผลถึงการตลาดทั้งหมดของแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นฉลากบนขวด ภาพโปรโมต งาน Visual ต่าง ๆ ไปจนถึงการตลาดที่เกี่ยวข้องกับแตงกวา เช่น แจกเมล็ดแตงกวาให้ไปปลูกเองเพื่อเอามากินกับ Gin ทั้งหมดคือเอกลักษณ์ที่ทำให้ Hendrick’s Gin เป็นที่ชื่นชอบของนักดื่ม Gin ทั่วโลก ตั้งแต่เริ่มวางขาย จนถึงปัจจุบัน
มิติใหม่ของจินที่ผสมควินินลงไปกับ Hendrick’s Orbium
จุดเด่นของ Hendrick’s Orbium ที่แตกต่างจากจินทั่วไป คือ หยิบส่วนผสมหลักจากเครื่องดื่มชนิดอื่นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ Orbium เริ่มจากมีการผสมควินิน (Quinine) ลงไป ปกติแล้วควินินจะอยู่ใน Tonic เป็นสารที่ได้มาจากเปลือกต้นซิงโคนา ไม่มีกลิ่นและจะมีรสขม ผสมเข้า Wormwood ที่ปกติจะอยู่ใน Vermouth และส่วนผสมหลักสุดท้าย คือ ดอก Blue Lotus จึงออกมาเป็น Orbium ที่สมบูรณ์
ซึ่งทาง MenDetails ก็ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ Charmaine Thio ผู้ที่อยู่ในตำแหน่ง Brand Ambassador ของ Hendrick’s Gin เกี่ยวกับการเดินทางไปพร้อม Orbium โลกใบใหม่ของ Gin ว่ารู้สึกอย่างไรบ้าง
“มันยอดเยี่ยมมาก ฉันรู้สึกว่าการรวมกันของ Quinine, Wormwood และดอก Blue Lotus นั้นไม่เหมือนใครจริง ๆ เพราะ ตอนแรกจะได้กลิ่นฟลอรัลขึ้นมาก่อน แล้วก็คาดเดารสชา่ติไว้ว่าน่าจะเป็นอย่างไร แต่สุดท้ายประสบการณ์ที่ได้รับนั้นแตกต่างไปจากที่คิด และฉันอยากให้ทุกคนได้ร่วมทางเดินไปยังเส้นทางใหม่นี้ด้วยกันค่ะ”“
ส่วนผสมหลักเดิมที่ได้มาจากกลั่นแตงกวาและกุหลาบ รวมถึงพืชพันธุ์ต่าง ๆ รวม 11 ชนิดยังคงอยู่ ผสานเข้ากับสามองค์ประกอบหลักทั้งสามที่เป็นตัวเอกใน Gin ตัวใหม่นี้ จึงทำให้นักดื่มได้เดินทางไปยังเส้นทางใหม่
ในส่วนเรื่องชื่อ Orbium มาจากคำศัพท์ว่า orb แปลว่า วงกลม ตามความหมายในภาษาละตินที่ทางแบรนด์ต้องการจะสื่อสารถึงเรื่องรสชาติและผสมผสานกันจนกลายเป็น Gin รสชาติใหม่และยังเชื่อมไปได้ถึงลักษณะการโคจรของดวงดาวตามธีม Parallel World ว่าเป็นการเดินทางในของ Gin แบบเดิมไปสู่รูปแบบใหม่
ในส่วนบรรจุภัณฑ์มากับขวดทึบสีน้ำเงินตามสไตล์ปรุงยาที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์เช่นเคย โดยสีน้ำเงินเป็นตัวแทนของดอก Blue Lotus จากส่วนผสมหลักในขวด มาพร้อมกับโลโก้ดวงตาที่ล้อมด้วยดอกไม้และวงกลมที่ represent ถึงเรื่องรสชาติที่บรรจุอยู่ภายใน
รังสรรค์เมนูค็อกเทลจาก Hendrick’s Orbium
Gin เป็นเครื่องดื่มที่เหมาะจะนำไปผสมกับส่วนประกอบอื่น ๆ ซึ่งนี่เป็นจุดเด่นที่ Charmaine Thio มองว่ามีเสน่ห์ “ฉันรู้สึกทึ่งเสมอกับการนำรสชาติต่าง ๆ รวมเข้าด้วยกันแล้วสามารถสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นขึ้นมาได้ Gin เป็นเครื่องดื่มที่มีเสน่ห์ เป็นจิตวิญญาณของพฤกษศาสตร์ที่ประกอบขึ้นจากพืชหลากหลายชนิดจนมอบประสบการณ์ที่มีเอกลักษณ์ให้กับเราได้ “
และจากความคุ้นเคยของหลายคนที่ว่าเมื่อเป็น Gin ต้องนำมาชงเป็นค็อกเทลต้องเป็น Gin Tonic ครั้งนี้จะแตกต่างออกไป เมื่อมีการเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงส่วนผสมบางอย่าง ก็จะทำให้นักดื่มได้มุมมองแบบใหม่ ๆ ฉะนั้นต้องเลือกว่า Orbium ควรผสมกับเครื่องดื่มชนิดใดถึงจะเข้ากันดีและออกมาเป็นแก้วที่พิเศษที่สุด
โดยทั้ง 3 เมนูที่ทาง Hendrick’s Gin คัดสรรมาแล้วว่าเหมาะสำหรับการชงกับ Orbium มี Martini, Gin and Soda และ Martinez ครับ สำหรับ Martini ในสไตล์ของ Hendrick’s จะมีส่วนผสมของ Gin กับ Dry Vermouth เป็นหลัก ใส่แตงกวาหั่นแว่นแทนที่จะเป็นมะกอกดองลงไปในแก้ว ส่วนตัว Gin and Soda ก็ใช้ส่วนผสมจาก Gin และ Soda ตรง ๆ ตามแบบชื่อของค็อกเทล
และสุดท้าย Martinez เป็นการรวมตัวกันของแอลกอฮอล์หลายชนิดทั้ง Gin, Liqueur และ Bitter ซึ่งการดื่มค็อกเทลเพียว ๆ หรือการดื่มคู่กับมื้ออาหารนั้น จะสร้างสรรค์รสชาติและประสบการณ์ออกมาแตกต่างกัน บางครั้งอาหารสามารถช่วยดรอปรสของค็อกเทลลงมา ในขณะที่บางครั้งค็อกเทลจะช่วยชูรสชาติจานนั้นให้เด่นขึ้นได้ด้วยเช่นกัน
Charmaine Thio ถือเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองที่ช่วยสานต่อเรื่องราวเบื้องหลังของ Gin แต่ละขวดผ่านบาเทนเดอร์ที่มีฝีมือในการรังสรรค์ค็อกเทลมาสู่โลกเบื้องหน้าอย่างสมบูรณ์ ให้นักดื่มได้สัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ ๆ และนอกจากค็อกเทลทั้ง 3 เมนูที่ทาง Hendrick’s Gin แนะนำไว้แล้ว เธอก็มั่นใจว่า Orbium เหมาะกับการสร้างสรรค์เมนูค็อกเทลตัวอื่น ๆ อีก และยังสามารถเข้ากันกับส่วนผสมที่หลากหลายอีกด้วยครับ
“Orbium ถือเป็น Gin ที่มีบาลานซ์ที่ดีและยังพร้อมสำหรับการปรับแต่งที่ไม่จำเจ นอกจากนั้นฉันก็เชื่อใจในความสามารถของบาเทนเดอร์ฝีมือดีทั่วโลกว่าจะนำเสนอค็อกเทลโดยใช้ Orbium เป็นตัวยืนได้อย่างดีที่สุดในสไตล์ของตัวเองค่ะ” เธอกล่าวเช่นนั้น