เพราะสังคมมักตัดสินในแง่ร้ายว่าผู้หญิงที่จีบผู้ชายก่อนนั้นไม่ “รักนวลสงวนตัว”
ก่อนจะมองว่าฝ่ายหญิงนั้น “ไม่กล้าเอง” ที่จะจีบผู้ชายก่อน เราควรจะต้องดูบริบททางสังคมให้ดีซะก่อน ว่าที่จริงแล้ว พวกเราเองนี่แหละที่มักจะมองในแง่ร้ายว่าผู้หญิงที่เริ่มต้นจีบผู้ชายก่อนนั้นเป็นผู้หญิงที่ไม่เป็นกุลสตรี เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม และไม่รักนวลสงวนตัวตามแบบฉบับค่านิยมไทย ทั้งๆที่ผู้หญิงบางคนเขาอาจจะเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี เข้ากับคนง่าย แต่สุดท้ายกลับต้องโดนวิพากษ์วิจารณ์และตกเป็น “ขี้ปาก” ให้คนอื่นในสังคมรอบข้างเอาไปเมาท์มอยกันอย่างเมามัน ด้วยแรงกดดันเช่นนี้นี่แหละที่เป็นเหตุผลหลัก และน่าจะเป็นเหตุผลที่สำคัญที่สุดที่ทำให้พวกเธอไม่กล้าจีบผู้ชายก่อนครับ และหนทางแก้ปัญหานี้อาจจะไม่มีเลยก็เป็นได้ตราบที่ค่านิยมนี้ยังคงมีอยู่ในสังคมครับ
เพราะผู้หญิงเองก็กลัวการถูกปฏิเสธเช่นกัน
ความกลัวที่จะถูกปฏิเสธกลับมานั้นเป็นสิ่งมนุษย์ทุกคนมีอยู่ร่วมกันไม่ว่าจะเป็นเพศใดก็ตาม ลองจินตนาการเมื่อถึงเวลาที่เราพยายามรวบรวมความกล้าเพื่อจะเข้าไปทักทายผู้หญิงน่ารักๆสักคนหนึ่ง เราเองก็กลัวที่จะถูกเธอปฏิเสธกลับออกมาให้หน้าแตกอยู่เหมือนกัน จนสุดท้ายก็กล้าๆกลัวๆและไม่เข้าไปเริ่มจีบเธออย่างจริงจังสักที อาการแบบนี้ผู้หญิงเขาก็เป็นเหมือนกันนะครับ หากเป็นผู้ชายที่หน้าตาถูกสเป๊กเธอจริงๆ พวกเธอเองก็เขินและก็กลัวการที่จะถูกปฏิเสธกลับมาเช่นกัน ดังนั้นถ้าผู้ชายสังเกตเห็นอาการเหล่านี้ได้ หรือได้ยินข่าวว่ามีผู้หญิงแอบชอบคุณอยู่ ก็ขอให้ผู้ชายทำตัวสบายๆ และเปิดโอกาสให้เธอได้ทักทายคุณอย่างเป็นธรรมชาติ ก็จะช่วยลดความกดดันตรงนี้ของเธอได้ครับ
เพราะผู้หญิงเองก็ไม่อยากถูกมองว่า “ไม่มีใครเอา”
เช่นเคยคือการกลัวการถูกวิพากษ์วิจารณ์ ในที่นี้หากพวกเธอเป็นฝ่ายเข้าหาผู้ชายก่อน ก็มีความเป็นไปได้สูงมากที่ผู้หญิงคนนั้นจะถูกมองว่า “ไม่มีผู้ชายมาจีบ จนต้องมาเริ่มจีบคนอื่นก่อน” ซึ่งต่างจากผู้ชายที่การเริ่มต้นจีบก่อนนั้นเป็นเรื่องปกติที่ผู้ชายทุกคนทำกันจึงไม่มีใครมองผู้ชายด้วยความคิดเช่นนั้น แต่อันที่จริงฝ่ายผู้ชายเราก็สามารถที่จะช่วยทำให้ความกดดันนี้ของผู้หญิงน้อยลงไปได้ด้วยการทำตัวให้สมกับเป็นสุภาพบุรุษ ไม่หัวเราะเยาะหรือดูถูกฝ่ายหญิงที่เข้ามาชวนคุย ถึงแม้เธอจะไม่ได้ตรงสเป๊กคุณก็ตาม และควรให้เกียรติฝ่ายหญิงด้วยการตอบรับไมตรี แต่ก็ต้องไม่ลืมที่จะบอกเธอตรงๆว่าคุณคิดกับเธอแค่ไหนอย่างไรด้วยนะครับ
เพราะผู้หญิงคิดว่าเธอไม่มีความจำเป็นที่จะต้องจีบผู้ชายก่อน
ความคิดที่ว่าการจีบกันนั้นเป็นหน้าที่ของฝ่ายชายที่ควรจะต้องเป็นฝ่ายเริ่มก่อน เป็นเรื่องที่แทบทุกคนในสังคมนั้นรู้ดีอยู่ ผู้หญิงเองก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นเธอจึงมีความคิดว่า หากผู้ชายคนนี้ไม่มาเริ่มจีบเธอก่อน เดี๋ยวก็จะมีผู้ชายคนอื่นมาจีบเธออยู่ดี จึงไม่มีความจำเป็นที่เธอจะต้องเริ่มเกมส์นี้ก่อนแต่อย่างใด แน่นอนอาจจะมีบ้างที่เธอรู้สึกเซ็งกับผู้ชายบางคนที่เธอชอบมากๆแต่เขาไม่เข้าไปจีบเธอสักที แต่สุดท้ายความคิดที่ว่าเดี๋ยวก็จะมีผู้ชายคนอื่นเข้ามาอีกในอนาคตก็มักจะเป็นฝ่ายชนะเสมอ ซึ่งความคิดแบบนี้ผู้ชายคงแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่ผู้ชายสามารถใช้สิ่งนี้เป็นประโยชน์ได้ด้วยการ “จีบแบบไม่รีบร้อน” ให้เธอรู้สึกว่าถูกจีบ แต่ไม่แน่ใจว่าจริงหรือไม่ แทนที่จะตั้งหน้าตั้งตาจีบเธอแบบที่เธอสามารถคาดเดาได้ตั้งแต่ต้น ความที่คุณคาดเดาไม่ได้จะทำให้เธอรู้สึกสงสัยใคร่รู้และให้ความสนใจคุณมากขึ้นไปเองโดยอัตโนมัติครับ
ก็ผู้หญิงยังไม่แน่ใจว่าชอบคุณจริงๆหรือเปล่า เท่านั้นเอง…
ผู้หญิงต่างกับผู้ชายตรงที่เธอใช้เวลาในการพิจารณาเลือกคนที่เธอชอบนั้นนานกว่าผู้ชายโดยเฉลี่ย จึงไม่แปลกอะไรหากเธอจะจดๆจ้องๆเพื่อคอยสังเกตและเฝ้าดูว่าคุณคือคนที่ใช่สำหรับเธอจริงๆหรือเปล่า ถ้าหากเธอไม่คิดจะเป็นฝ่ายเริ่มอะไรก่อนเลย ก็เป็นไปได้ว่าเธอก็แค่ “ไม่ได้ชอบคุณขนาดนั้น” เท่านั้นเอง และถ้าคุณรู้ตัวกำลังถูกผู้หญิงคอยจับตามองอยู่โดยที่เธอไม่เริ่มลงมืออะไรสักที สิ่งที่คุณจะทำได้ก็คงมีแค่การทำตัวให้เป็นสุภาพบุรุษที่มีเสน่ห์ในสายตาของผู้หญิงให้ได้มากที่สุด และเมื่อเธอเริ่มรู้สึกมั่นใจในตัวคุณขึ้นมาเมื่อไหร่ สิ่งดีๆก็อาจจะตามมาก็เป็นได้ หรือถ้าคุณเองก็ชอบเธออยู่เหมือนกัน ก็ลองเป็นฝ่ายจีบเธอซะเลยสิ จะรอไปทำไม จริงไหมครับ?
ไม่ว่าผู้หญิงจะมีเหตุผลร้อยแปดพันเก้าอะไรก็ตามแต่ที่จะทำให้เธอไม่เป็นฝ่ายเริ่มจีบผู้ชายอย่างพวกเราก่อน แต่สุดท้ายอะไรก็ไม่สำคัญเท่าการที่ผู้ชายจะทำตัวให้เป็นสุภาพบุรุษ พัฒนาบุคลิกภาพของตัวเองให้ดูดี และฝึกตัวเองให้เป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี รู้จักให้เกียรติผู้หญิง เพราะต่อให้เธอไม่ชอบคุณ ไม่จีบคุณ หรือต่อให้คุณจีบผู้หญิงไม่ติด อย่างน้อยคุณก็ยังสามารถบอกตัวเองได้เต็มปากว่าเราได้ทำดีที่สุดแล้ว
ส่วนเรื่องที่ใครจะจีบใครก่อนนั้น… มันเรื่องเล็กครับ
แล้วพบกันใหม่กับ MDs’ WOMEN นะครับ