ลองมานั่งคิดดูดีๆ จะรู้ว่าดีเทลชิ้นเล็กมากๆ อย่าง Bar Tacks นั้น สร้างความแตกต่างให้กับตัวกางเกงยีนส์ได้อย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งก่อนจะไปรู้จักคำว่า Bar Tacks คุณควรรู้จักคำว่า Rivets เสียก่อน เนื่องจากสมัยโบราณนั้น กางเกงยีนส์หรือที่เรียกกันว่า Waist Overall นั้น นิยมยึดกระเป๋าหลังด้วยหมุดเหล็กหรือที่เรียกว่า Rivets ซึ่งเจ้าหมุดเหล็กที่ว่านั้นแข็งแรงมากจนก่อให้เกิดปัญหา เช่น ตัวหมุดเหล็กนั้นไปขูดโดนโซฟาหนังเสียหาย ทำให้ทางแบรนด์ Levi’s ต้องพัฒนาต่อยอดจนกลายเป็น Hidden Rivets กล่าวคือ ทำการซ้อนหมุดเหล็กไว้ด้านหลังผ้ายีนส์นั่นเอง
Hidden Rivets ประสบความสำเร็จมากในช่วงแรก เพราะจนแล้วจนรอดหลังจากที่กางเกงถูกใช้ไปเรื่อยๆ หมุดเหล็กดังกล่าวก็จะโผล่ออกมาอยู่ดี จึงเกิดการพัฒนาการเย็บแบบใหม่ขึ้นและให้ชื่อว่า Bar Tacks “แล้วอะไรคือ Bar Tacks กันแน่?” Bar Tacks คือการเย็บแบบ ซิ๊กแซ็ก โดยย้ำไปมาซ้ำๆ ในบริเวณหนึ่งๆ ของตัวเนื้อผ้า ซึ่งถึงแม้ว่าจุดเริ่มต้นนั้นเริ่มจากกางเกงยีนส์ แต่วิธีการเย็บแบบนี้นั้นถูกนำไปใช้กับสินค้าหลากหลายประเภท เช่น รองเท้า Sneakers / กระเป๋าเดินทาง เป็นต้น การเย็บแบบ Bar Tacks นั้นก็เพื่อป้องกันการฉีกขาดของเนื้อผ้า
การเดินด้ายแบบ Bar Tacks นั้นยังหมายรวมถึงการปะรูกางเกงยีนส์อีกด้วย เพราะถือเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยเสริมความแข็งแรงของผ้าเข้าด้วยกันได้เป็นอย่างดี จุดที่เห็นได้บ่อยๆ บนตัวกางเกงยีนส์หากเป็นกางเกงตัวใหม่ จะพบได้ช่วงหูกางเกงยีนส์ / กระเป๋าหลังของกางเกง / เป้ากางเกงยีนส์ และบริเวณสะโพก ซึ่งเป็นดีเทลที่ทำให้คุณสามารถแยกอายุของกางเกง Levi’s ได้ ด้วยการดูสีด้ายของ Bar Tacks อีกด้วย (หากเย็บกระเป๋าหลังด้วยด้ายคนละสีแปลว่ากางเกง Levi’s ตัวนั้น อายุมากกว่า 20 ปีขึ้นไป ถ้าไม่ใช่ Reproduction)
การเย็บแบบ Bar Tacks นั้นทำให้ตัวกางเกงยีนส์สามารถรับแรงดึงได้กว่า 400 Pounds เลยทีเดียว ซึ่งนั่นมากกว่าแรงดึงทั่วๆ ไปของมนุษย์ นั่นคือสาเหตุว่าทำไมผู้ชายส่วนใหญ่ถึงหลงรักกางเกงยีนส์ เพราะเนื่องจากวิธีการทอผ้า รวมไปถึงการตัดเย็บที่มีดีเทลเล็กๆ อย่าง Bar Tacks ที่ทำให้กางเกงยีนส์อยู่คู่กับเราไปได้หลายปี ดังนั้นตั้งแต่นี้ ลองสังเกตกางเกงยีนส์ของคุณดูครับว่า “กางเกงของคุณมี Bar Tacks / Rivets หรือไม่” เพราะนั่นคือสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของความแข็งแรงมาตั้งแต่รุ่นพ่อนั่นเอง