Series ‘MDs’ Style Icons’ ได้รับแรงบันดาลใจจากหนังสือ ‘Icons of Men’s Style’ โดย Josh Sims ที่รวบรวมประวัติความเป็นมาของเครื่องแต่งกายสุภาพบุรุษฉบับคลาสสิกตั้งแต่หัวจรดเท้า ที่ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ เครื่องแต่งกายเหล่านี้ก็จะยังคงความคลาสสิกอยู่คู่กับสไตล์ของผู้ชายไปได้อีกนานแสนนาน
“เนกไท” คือเครื่องแต่งกายที่ผู้ชายแทบทุกคนย่อมรู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี แต่จะมีสักกี่คนที่รู้จักว่ามันมีประวัติความเป็นมาอย่างไร มีไว้เพื่ออะไร และทำไมผู้ชายต้องใช้ “เนกไท” มาผูกที่คอ และนี่เองคือที่มาของบทความใน Series ‘MDs’ Style Icons’ ที่เราจะมาตอบคำถามข้างต้นเกี่ยวกับ “เนกไท” (Necktie) มาให้ผู้อ่าน MenDetails ทุกคนได้รับทราบกันครับ
The Necktie
พูดกันแบบไม่ต้องอ้อมค้อม หน้าที่โดยตรงของเครื่องแต่งกายที่เรียกว่า “เนกไท” ในปัจจุบันมีเพียงแค่อย่างเดียว นั่นคือเอาไว้ตกแต่งให้การแต่งกายของผู้ชายสไตล์ Semi-formal ดูดียิ่งขึ้นเท่านั้น ดังนั้นถ้ามีใครบอกว่า “เนกไท” มีประโยชน์เอาไว้สำหรับเช็ดปากหรือสั่งน้ำมูก อันนั้นคือมั่วแล้วนะครับ อย่างไรก็ตาม “เนกไท” มีประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวเนื่องกับ “ผ้าพันคอ” ในทางการทหาร และเป็นเครื่องมือในการบอกลำดับขั้น, ยศศักดิ์, สังกัด หรือกรมกอง ก่อนที่จะกลายมาเป็นเครื่องแต่งกายสำหรับผู้ชายทั่วไปอย่างเช่นทุกวันนี้
รูปปั้นนักรบจีนของจิ๋นซี ฮ่องเต้ หลักฐานชิ้นที่โบราณเก่าแก่ที่สุด ที่แสดงให้เห็นถึงการผูก “ผ้าพันคอ” ของผู้ชาย
หากจะพูดถึงประวัติศาสตร์ของ “ผ้าพันคอ” อันที่จริงต้องย้อนยาวไกลไปถึงสมัยโบราณ โดยมีหลักฐานจากรูปปั้นทหารจีน ณ สุสานของจิ๋นซี ฮ่องเต้ ในเมืองซีอาน ประเทศจีน ซึ่งคาดว่าน่าจะสร้างขึ้นตั้งแต่ 220 ปีก่อนคริสตกาล หรือประมาณปี พ.ศ. 323 โดยรูปปั้นของทหารเหล่านี้แสดงให้เห็นการผูกผ้าชนิดหนึ่งพันไว้ที่คอ สันนิษฐานว่าเป็นการบอกลำดับยศและตำแหน่งของทหารแต่ละนาย หลักฐานชิ้นต่อมาคือภาพแกะสลักบนเสา Trajan’s Column ในกรุงโรมประเทศอิตาลี เผยให้เห็นนายทหารที่มีผ้าพันคอ (Focale) เช่นกัน
ภาพถ่ายรูปแกะสลักบน Trajan’s Column กลางกรุงโรม ประเทศอิตาลี่ แสดงถึงนายทหารที่มีผ้าพันคอตั้งแต่สมัยโบราณ
กระทั่งมาถึงยุคสมัยใหม่ราวคริสตวรรษที่ 16 ได้เกิดสงคราม 30 ปีในยุโรป (Thirty Years’ War) ในช่วงปี ค.ศ. 1618-1648 โดยในขณะนั้นทหารโครเอเชียที่ร่วมรบกับกองกำลังของฝรั่งเศส ได้สวมใส่ผ้าพันคอที่เรียกว่า ‘Cravat’ (คราว้าท) ซึ่งเพี้ยนมาจากคำว่า Croat (โครแอต) อันเป็นการเรียกขานถึงชาวโครเอเชีย จุดสำคัญอยู่ตรงที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศสเองก็ทรงชื่นชอบการสวมผ้าพันคอเช่นนี้ และทรงหยิบแฟชั่นการใส่ Cravat มาใช้ในพระราชวัง นั่นจึงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้แฟชั่นการผูกผ้าไว้บนคอแบบนี้แพร่หลายจากกองทัพทหารสู่พลเรือนทั่วไปในที่สุด
เครื่องแบบทหารชาวโครเอเชียตามประเพณี ที่มี “Cravat” ผูกอยู่เสมอ
อย่างไรก็ตาม เครื่องแต่งกายที่เรียกว่า “เนกไท” จริงๆ ถือกำเนิดเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1924 เมื่อนาย Jesse Langsdorf ช่างตัดเสื้อชาวอเมริกัน ได้จดสิทธิบัตรที่มีรายละเอียดเป็น “ผ้าสามชิ้นที่เย็บและพับเข้าด้วยกันโดยให้ลายทางหรือเส้นใยการทอของผ้าทำมุมเฉียง 45 องศา เพื่อให้เมื่อผูกเป็นปมแล้วไม่เกิดรอยย่นถาวรบนตัวผ้า” ซึ่งแม้กระทั่งจนปัจจุบันนี้ รูปแบบของเนกไทส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นเช่นนี้อยู่เหมือนเดิม
Learn it from stylish man | ดยุคแห่งวินด์เซอร์กับภาพถ่ายที่พระองค์ทรงสาธิตวิธีการผูกเนกไทของตัวเอง
เนกไทของผู้ชายในยุคแรกๆนั้น มักมีความยาวที่ไม่ยาวเท่าไหร่นัก แต่จะไปเน้นความกว้างและลวดลายบนตัวเนกไทแทน ต่อมาเนกไทเริ่มได้รับความนิยมใช้งานอย่างกว้างขวางโดยเหล่าทหารในกองทัพอังกฤษ ที่มักผูกเนกไทที่มีแถบสี (Stripes) ตามสีประจำกรมทหารที่ตัวเองสังกัดในยามที่ใส่เสื้อเชิ้ตทั่วไปแบบพลเรือน หรือที่สุภาพบุรุษชาวอังกฤษเรียกกันว่า ‘Regimental Tie’ จุดที่น่าสังเกตคือลายของเนกไทแบบนี้จะมีลายพาดจากซ้ายไปขวาเสมอ หลังจากนั้นธรรมเนียมการผูกเนกไท Regimental Tie ดังกล่าวจึงแพร่หลายไปยังเหล่านักเรียน นิสิตนักศึกษา ซึ่งจะใช้สีประจำโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยมาเป็นแถบลวดลายบนเนกไทที่ตัวเองใช้ ด้วยความภาคภูมิใจในสถาบันของตัวเองไม่ต่างกัน
เนกไทที่มีลายทาง Stripes เฉียงพาดจากไหล่ซ้ายไปขวา อันเป็นลักษณะเด่นของ Regimental Tie แบบอังกฤษ
Roger Moore ในบทบาทของสายลับ James Bond 007 กับเนกไท Regimental ลายพาดจากไหล่ซ้ายไปขวา
ในขณะที่ฟากอังกฤษใช้ Regimental Tie ฝั่งอเมริกานำโดย แบรนด์มหาอำนาจอย่าง Brooks Brothers นำเสนอรูปแบบของเนกไทที่แตกต่างออกไป โดยแทนที่จะใช้ลายที่พาดจากไหล่ซ้ายไปขวาแบบอังกฤษ ทาง Brooks Brothers เปลี่ยนเป็นลวดลายที่พาดจากไหล่ขวาไปซ้ายแทน โดยใช้วัสดุจากผ้าไหมเป็นหลัก เนกไทดังกล่าวของ Brooks Brothers ได้รับชื่อเรียกว่า ‘The Repp Tie’ ซึ่งกลายเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ในการแต่งกายของเหล่านักศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นนำหรือที่เราเรียกว่า ‘Preppy Style’ หรือ ‘Ivy League’s Style’ นั่นเองครับ
Repp Tie มักมีลายทาง Stripes พาดเฉียงจากไหล่ขวาไปซ้าย ใส่คู่กับเสื้อเชิ้ต OCBD กับ Military Jacket แล้วจะมีอะไรตะโกนความเป็นสุภาพบุรุษอเมริกันได้ดีไปกว่านี้อีก?
อย่างที่บอกไปแล้วว่าในปัจจุบันนั้นจุดประสงค์ของ “เนกไท” มีเพียงเรื่องเดียว คือการตกแต่งและเพิ่มลวดลายสีสันให้การแต่งกายในสไตล์ Semi Formal ไม่ว่าจะเป็นชุดทำงาน หรือการสวมใส่ชุดสูท, เบลเซอร์ หรือสปอร์ต แจ็กเก็ต ของเรานั้นดูดีขึ้น ดังนั้นการเลือกเนกไทให้ดี ไม่ควรเน้นปลอดภัยไว้ก่อนด้วยการใส่แค่เนกไทสีพื้นเพียงอย่างเดียว เพราะเราสามารถ Mix & Match ลวดลายของเนกไทได้อย่างหลากหลาย ช่วยให้การแต่งกายของเราไม่น่าเบื่อ และดูมีสไตล์ที่ลงตัวมากยิ่งขึ้นครับ
เนกไทลายจุด จาก Shibumi Firenza (มีวางจำหน่ายที่ The Decorum) เข้ากันได้ดีกับลายตารางบนเสื้อสูท
ใครจะไปคิดว่าเครื่องแต่งกายที่ดูธรรมดาสามัญอย่าง “เนกไท” ความจริงแล้วจะมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่ยาวนานและไม่ธรรมดาแบบนี้ และ MenDetails ก็อยากจะขอแนะนำให้ผู้ชายใส่ใจให้มากขึ้นอีกนิดกับเครื่องแต่งกายเล็กๆ ชิ้นนี้บนตัวเราครับ ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องเป็นสีพื้นเรียบๆ ให้ดูน่าเบื่อ เพราะเนกไทที่มีลายทางสลับสีพาดเฉียงตัวเนกไทนั้น ถือเป็นหนึ่งในต้นตำรับของเนกไทที่ผู้ชายเราสามารถนำไปใช้ได้อย่าง Timeless Classic ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกมองว่าดูแก่หรือดูลุงแต่อย่างใด ส่วนใครจะชอบลายซ้ายไปขวาสุดคลาสสิกสไตล์อังกฤษ แบบ Regimental Tie หรือจะชอบตั้งตัวเป็น “ขบถ” นิดๆ ด้วยลายทางขวาไปซ้ายแบบ Repp Tie จากฝั่งอเมริกา ก็สุดแล้วแต่จะเลือกกันเลยนะครับ หล่อเนี้ยบมีสไตล์ทั้งคู่แน่นอนครับ