เพราะ “ชุดสูท” ไม่ได้เป็นเครื่องแต่งกายประจำชาติไทย ด้วยความเชื่อที่ว่าประเทศไทยอากาศร้อนเกินไปที่จะใส่สูท และผู้ชายที่ใส่สูทมักจะดู “Overdressed” หรือ “แต่งตัวเยอะเกินไป” ทำให้ผู้ชายไทยส่วนใหญ่เห็นเรื่องสูทเป็นเรื่องที่ค่อนข้างไกลตัว จนอาจจะยังไม่มีความรู้ความเข้าใจเรื่องนี้มากเท่าที่ควร สิ่งหนึ่งที่สำคัญและผู้ชายไทยอาจจะยังสับสนเพราะมีความคิดว่า เสื้อตัวนอกแขนยาวหนาๆ ที่มีกระดุมเรียงกันตรงปลายแขน มันก็เรียกว่าสูทเหมือนกันทั้งหมด แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะเราสามารถเรียกเสื้อตัวนอกแบบนี้ได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น เสื้อแจ็กเก็ตสูท (Suit Jacket), เสื้อเบลเซอร์ (Blazer) หรือจะเรียกว่า เสื้อสปอร์ตโค้ต (Sport Coat) ก็ได้เช่นกัน
คุณรู้หรือไม่ว่า แจ็กเก็ตตัวนี้ควรเรียกว่า สูท, เสื้อเบลเซอร์ หรือเสื้อสปอร์ตโค้ต กันแน่?
คำถามก็คือแล้วทั้งสามอย่างนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร? เมื่อไหร่ที่เราจะเรียกว่า “สูท” เมื่อไหร่ที่เราจะเรียกว่า “เบลเซอร์” และแบบไหนกันแน่ที่เราต้องเรียกว่า “สปอร์ตโค้ต” วันนี้ MenDetails ขออนุญาตนำมาอธิบายให้ฟังกันครับว่า สูทต่างกับเบลเซอร์อย่างไร? แล้วอันที่เราเรียกสปอร์ตโค้ตกันแน่?
สูท และ เสื้อแจ็กเก็ตสูท
อันที่จริงแล้ว คำว่า “สูท” ไม่ได้เป็นคำที่ใช้เรียกเฉพาะเสื้อตัวนอกครับ ที่ถูกต้องนั้นคำว่า “สูท” คือการเรียกรวมกันทั้ง เสื้อสูทและกางเกงสูท อยู่ในคำเดียว เมื่อเราจะเรียกแยกกัน ก็ต้องเรียกว่า เสื้อแจ็กเก็ตสูท (Suit Jacket) และ กางเกงสูท (Suit Trousers) นั่นเอง ซึ่งนี่คือลักษณะการใช้งาน “เสื้อแจ็กเก็ตสูท” ที่จะต้องมีกางเกงสูทควบคู่กับเขาด้วยเสมอ และจะต้องเป็นสีเดียวกัน อีกทั้งทำจากเนื้อผ้าชนิดเดียวกัน รวมแล้วจึงจะเรียกว่าเป็น “สูท” โดยสมบูรณ์ครับ
‘สูท’ คือคำที่เราเรียกทั้งเสื้อแจ็กเก็ตและกางเกงรวมกัน ไม่ได้หมายถึงเฉพาะตัวเสื้อเพียงอย่างเดียวนะครับ
แม้เราสามารถที่จะนำ “เสื้อแจ็กเก็ตสูท” แยกร่างออกไปใส่กับกางเกงตัวอื่นได้ แต่เราก็ควรระมัดระวังให้ดีครับ อย่างแรกก็คือ เสื้อแจ็กเก็ตสูทมักจะทำจากเนื้อผ้าที่เรียบร้อย ไม่มี Texture หรือพื้นผิวและลวดลายบนตัวเสื้อมากนัก การนำเสื้อสูทที่มีลุคสุภาพเรียบร้อยไปใช้กับกางเกงแนว Casual ตัวอื่นอย่างกางเกงชีโน่ หรือกางเกงยีนส์ จะทำให้เกิดภาพรวมที่ดูขัดแย้งกันเองได้ครับ
ชุดสูทมักจะทำจากผ้าที่เรียบลื่น เนียนตา ดูแล้วสุภาพเรียบร้อยและเป็นทางการมากกว่า
อีกข้อที่ควรระวังก็คือ การใช้งาน “เสื้อแจ็กเก็ตสูท” แบบแยกออกไปใส่คู่กับกางเกงตัวอื่นนั้น นานวันเข้าเมื่อเสื้อแจ็กเก็ตสูทของเราเจอทั้งแดด ทั้งลม ความชื้น และการซักแห้ง จะทำให้สีของเสื้อแจ็กเก็ตสูทของเราเปลี่ยนไป เมื่อจะหยิบนำกลับมาใส่คู่กับกางเกงสูทอีกครั้ง เราอาจจะพบว่าสีของเสื้อสูทกับกางเกงสูทนั้นมีความเข้มที่ต่างกัน ใส่แล้วดูไม่กลมกลืนลงตัวอีกต่อไป ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีในการใส่ชุดสูทครับ
เสื้อเบลเซอร์ (Blazer)
ชื่อของคำว่า Blazer มีที่มาและประวัติที่น่าสนใจซึ่ง MenDetails ขอแนะนำให้คุณได้ลองไปอ่านตาม Link นี้ครับ เสื้อเบลเซอร์แม้ดูเผินๆ จะมีรูปร่างหน้าตาคล้ายกันกับ เสื้อแจ็กเก็ตสูท แต่ทั้งสองอย่างกลับมีความแตกต่างที่ชัดเจนอย่างนึกไม่ถึง ข้อแรกก็คือ เสื้อเบลเซอร์จะไม่มีกางเกงคู่กันติดมาด้วย เพราะเบลเซอร์มีจุดประสงค์ให้คุณหยิบเอาไปใช้สวมใส่กับกางเกงอะไรก็ได้ที่คุณนึกออก และมั่นใจว่าใส่แล้วดูดี ไม่ว่าจะเป็นกางเกงยีนส์ผ้าดิบ, กางเกงยีนส์ผ้าฟอก, กางเกงชีโน่ หรือกางเกง Dress Pants ตัวอื่นๆ ก็ย่อมได้ทั้งนั้น
เสื้อเบลเซอร์สีกรมท่า กับกระเป๋าแบบ Patch Pocket ที่เรานำไปใส่กับกางเกงแบบอื่น สีอื่น ได้ตามที่เราต้องการ
อีกข้อหนึ่งคือ ตัวเสื้อเบลเซอร์จะให้อารมณ์ Casual มากกว่า และดูสุภาพเรียบร้อยน้อยกว่าชุดสูท (นิดเดียว) ครับ กระดุมของตัวเสื้อเบลเซอร์ก็มักจะใช้สีสันที่แตกต่างจากตัวเสื้ออย่างชัดเจน แรกเริ่มเดิม Blazer จะใช้กระดุมที่ทำจากโลหะสีทอง แต่ในปัจจุบันเสื้อเบลเซอร์มีความหมายครอบคลุมมากขึ้น และกระดุมอื่นๆ ก็สามารถใช้ได้ แต่ก็มักจะเป็นกระดุมที่มีสีแตกต่างจากตัวเสื้ออย่างชัดเจนอยู่เช่นเดิม ส่วนเนื้อผ้าของเบลเซอร์ก็มักจะมีพื้นผิวสัมผัสที่ขรุขระมากกว่า หรือมีลวดลายที่เห็นชัดมากกว่าเสื้อแจ็กเก็ตสูทครับ เช่น ผ้า Hopsack, ผ้า Basketweave หรือผ้าลาย Herringbone tweed เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อให้ใส่คู่กับกางเกงชนิดอื่นได้อย่างกลมกลืนครับ
ผ้าที่มีลวดลายและพื้นผิวขรุขระเล็กน้อยอย่าง Hopsack คือผ้าที่นิยมนำมาตัดเป็นเบลเซอร์ เพื่อลุคที่ดูสบายๆมากกว่าชุดสูท
กระดุมที่ใช้ในเสื้อเบลเซอร์ มักจะเป็นกระดุมที่มีสีตัดกับตัวเสื้อเบลเซอร์อย่างเห็นได้ชัด
แม้จะดูลำลองกว่าและสุภาพน้อยกว่าการใส่สูททั้งชุด แต่เสื้อเบลเซอร์ก็ดูเป็นทางการมากพอที่จะนำไปออกงานประเภท Smart Casual ได้สบายๆครับ ซึ่งถ้าจะพูดกันตามตรง งานส่วนใหญ่ที่ผู้ชายไทยเราจะมีโอกาสไปร่วม ก็มักจะมี Dress code แบบ Smart Casual อยู่แล้ว ดังนั้นเสื้อเบลเซอร์จึงถือเป็นทางสายกลางที่น่าสนใจ และ MenDetails เชื่อว่าผู้ชายไทยจะมีโอกาสใช้ได้บ่อยมากกว่าการใส่เสื้อแจ็กเก็ตสูทคู่กับกางเกงสูทแบบเต็มยศครับ
เสื้อสปอร์ตโค้ต หรือสปอร์ตแจ็กเก็ต (Sport Coat, Sport Jacket)
เสื้อสปอร์ตโค้ต หรือสปอร์ตแจ็กเก็ต มีลักษณะส่วนตัวที่คล้ายกับเบลเซอร์ทั้งสิ้น แต่ที่แตกต่างจากเบลเซอร์ก็คือ สปอร์ตโค้ตจะมีความ Casual หรือยิ่งสุภาพเรียบร้อยน้อยกว่าเสื้อ Blazer ลงไปอีก เสื้อสปอร์ตมักจะมีสีสันที่ฉูดฉาดกว่า เช่น สีเบอร์กันดี, สีน้ำตาลอ่อน อีกทั้งจะมีลวดลายที่ชัดเจนยิ่งกว่าเบลเซอร์ เช่นลายตารางที่เห็นได้ชัด หรือลาย Houndstooth ที่เด่นจนก้าวข้ามความเป็น Blazer ไปอีกขั้น เสื้อสปอร์ตโค้ตจึงทำหน้าที่เดียวกับ Blazer คือสามารถเอาไปใส่คู่กับกางเกงแนวที่ลำลองกว่ากางเกงสูทได้อย่างลงตัวครับ
Sport Coat ยิ่งมีลวดลายและสีสันที่เยอะขึ้นกว่า Blazer เสียอีก
อย่างไรก็ตาม เส้นแบ่งระหว่างเสื้อเบลเซอร์และเสื้อสปอร์ตโค้ตนั้น อาจไม่ได้เด่นชัดมากเท่ากับความแตกต่างระหว่างเสื้อแจ็กเก็ตสูทกับเสื้อเบลเซอร์ เราจึงมักเรียกเสื้อเบลเซอร์กับเสื้อสปอร์ตโค้ตแบบสลับกันไปมาได้ ไม่ได้ถือว่าผิดกติกาแต่อย่างใดครับ
ลวดลายและสีสันที่เพิ่มขึ้น ทำให้ความเป็นทางการต่ำลง เราจึงเรียกว่า ‘Sport Coat’ แทนการเรียกว่าสูท
คำว่า Sport Coat กับ Blazer นั้น เราสามารถเรียกแทนกันได้ในบางครั้ง ไม่ถือว่าผิดกติกาแต่อย่างใดครับ
และทั้งหมดคือความแตกต่างระหว่าง เสื้อแจ็กเก็ตสูท – เบลเซอร์ – สปอร์ตโค้ต ที่ผู้ชายไทยควรรู้ไว้บ้างครับ จำไว้ว่า “สูท” ต้องมีทั้งเสื้อและกางเกง แต่ถ้าจะเอาไปใส่กับกางเกงตัวอื่นอย่างกางเกงยีนส์ ถึงแม้ไม่ได้มีข้อห้ามโดยตรง แต่เราควรใช้เบลเซอร์หรือสปอร์ตโค้ตจะเป็นการดีกว่า ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงลุคที่ขัดตา และสีเสื้อแจ็กเก็ตสูทกับกางเกงสูทที่อาจจะซีดต่างกันในระยะยาวนะครับ