เสื้อเชิ้ต เครื่องนุ่งห่มชิ้นสำคัญของ ผู้ชาย เสื้อผ้าชิ้นเอกนี้ มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน และจากหลักฐานที่ค้นพบนั้นอาจกล่าวย้อนกลับไปถึงกว่า 3,000 ปีก่อน ตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณจากหลุมฝั่งศพใน Tarkan ซึ่งเสื้อเชิ้ตดังกล่าวถูกผลิตโดยวัสดุลินินแท้ 100% รายละเอียดที่น่าสนใจอยู่ตรงรอยต่อช่วงไหล่และแขนที่จับพับเป็น Pleated เพื่อให้ผู้สวมใส่ สามารถขยับตัวได้ง่าย เสื้อเชิ้ต มีวิวัฒนาการต่าง ๆ มากมายจวบจนปัจจุบัน และวันนี้ MenDetails จะนำทุกท่านเดินทางย้อนผ่านฝีเข็มที่ถักทอเป็นเสื้อเชิ้ตว่าประวัติศาสตร์ของมันเป็นอย่างไร
Shirts ไม่ได้ถูกหยิบมาใส่เฉพาะ ผู้ชาย เท่านั้น
ตั้งแต่ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13-15
เสื้อเชิ้ตถูกค้นพบครั้งแรกในสมัยอียิปต์โบราณ ก่อนการกำเนิดของพระเยซูคริสต์ แต่เริ่มมีประวัติศาสตร์ที่ชัดเจนในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13 เป็นต้นไป ในสมัยนั้น เสื้อเชิ้ต เป็นเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มที่สวมใส่อยู่ภายใน หรืออยู่ใต้เสื้อตัวนอกอย่าง Jacket เท่านั้นและมักเลือกผลิตโดยวัตถุดิบที่บางเบาอย่างผ้าลินิน หรือผ้าไหมเป็นหลัก
ในอดีต เสื้อเชิ้ต เป็นเพียงชุดชั้นในของผู้ชาย จนกระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ 13-15 นั้น ผู้หญิงเริ่มมีการหยิบมาสวมใส่บ้างเช่นกัน และเมื่อถึงช่วงยุค Renaissance ว่ากันว่าเป็นยุคที่ทำให้เสื้อเชิ้ตของทั้งสองแบบนั้น มีรายละเอียดงานออกแบบที่แตกต่างกันเกิดขึ้น นั่นก็คือ เสื้อเชิ้ตผู้ชายและเสื้อเชิ้ตผู้หญิง จะทับด้านซ้ายขวาไม่เหมือนกัน
เนื่องจากเป็นยุคที่เริ่มมีการใช้กระดุมเข้ามาเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เสื้อผ้าเข้ารูป และยังเป็นสัญลักษณ์ของความร่ำรวย เสื้อผ้าที่มีกระดุมจึงอนุมานได้ว่าอยู่ในมือชนขั้นสูงหรือพวกขุนนาง ซึ่งผู้หญิงชั้นสูงในสมัยนั้นไม่แต่งตัวด้วยตัวเองครับ จะมีสาวใช้ช่วยแต่งตัวให้ เสื้อผู้หญิงจึงมีกระดุมอยู่ทางซ้าย และรังดุมอยู่ทางขวา ในขณะที่ เสื้อเชิ้ต ผู้ชาย จะมีกระดุมอยู่ทางขวา และรังดุมอยู่ทางซ้าย กลายเป็นซ้ายทับขวา เนื่องจากคนส่วนใหญ่ถนัดขวา จึงออกแบบมาให้เหมาะกับการใส่เสื้อด้วยตนเอง
คริสต์ศตวรรษที่ 16 – 19 ยุคแห่งการปรับดีไซน์เสื้อเชิ้ต
เมื่อกาลเวลาผ่านไป ดีไซน์ของเสื้อเชิ้ตก็มีการปรับเปลี่ยนมากขึ้น มีทั้งปรับตามสมัยนิยมและปรับเพื่อความสะดวกในการใช้งาน ซึ่งยุคนี้เป็นยุคที่มีเสื้อเชิ้ตแบบ Crop-top เกิดขึ้น เรียกว่า Half Shirt เป็นเสื้อโชว์เฉพาะส่วนบนที่โผล่ให้เห็นเท่านั้น เอาไว้สำหรับเพิ่มเลเยอร์ให้การแต่งกาย โดยผู้ชายในสมัยนั้นให้ความนิยมมาก
ช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่18 กำเนิดเสื้อเชิ้ตทรงยาวที่เป็นทั้งเสื้อเชิ้ตและกางเกงใน ถือเป็นเครื่องยืนยันว่า เสื้อเชิ้ต คือ เสื้อในของ ผู้ชาย ในอดีต ขณะที่เสื้อเชิ้ตที่นับว่าเป็นกระแส ทันสมัย คือ เสื้อเชิ้ตที่ตกแต่งด้วยระบาย (jabot)
ในช่วงปี 1872 ก็มีการพัฒนาเสื้อเชิ้ตให้ล้ำสมัย ด้วยฝีมือของ Hannah Montague แม่บ้านใน New York ที่คิดค้นการถอด-ใส่ปกเสื้อเชิ้ตขึ้นมา ด้วยความขี้เกียจซักเสื้อของสามีทั้งตัว จึงออกแบบให้สามารถถอดแค่เสื้อปกเสื้อที่สกปรกออกมาซัก แล้วค่อยใส่เข้าไปใหม่หลังทำความสะอาดแล้ว หลังจากนั้นก็มีต่อยอดจากการถอดปกเสื้อ เพิ่มเป็นการถอดประกอบปกเสื้อ (collars) และปลายแขน (cuffs) ขึ้น
กว่าจะมาเป็นต้นแบบของเชิ้ตที่เราคุ้นเคยกันในปัจจุบันแบบที่มีกระดุมหน้ายาวทั้งตัว ก็ตอนปี 1871 ที่ Brown, Davis & Co. ผู้ผลิตและค้าส่งเสื้อผ้าผู้ชายใน London จดสิทธิบัตรเสื้อเชิ้ตแบบติดกระดุมหน้ายาวจนถึงเอว ปรับเปลี่ยนจากเสื้อเชิ้ตเมื่อก่อนที่เป็นแบบเสื้อสวมหัวนั่นเอง
ก้าวเข้าคริสต์ศตวรรษที่ 20 จวบจนปัจจุบัน
ในช่วงก้าวเข้าคริสต์ศตวรรษที่ 20 แรก ๆ เสื้อเชิ้ต ที่ ผู้ชาย ใส่กันจะเป็นเชิ้ตคอปกสูงตั้ง ๆ ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากสมัย Victorian ช่วงนั้นนับว่าเป็นยุคที่มีเครื่องซักบ้านตามบ้านมากขึ้น จึงทำให้เสื้อเชิ้ตที่คอปกแนบเป็นตัวเดียวกับเสื้อเริ่มกลับมาแทนที่ เนื่องจากการโยนเสื้อทั้งตัวเข้าเครื่องซักผ้านั้นง่ายกว่าซักแค่ชิ้นส่วนเล็ก ๆ
ทศวรรษ 1920 เป็นช่วงที่เชิ้ตปกแหลม (Point Collar) ได้รับความนิยมมากกว่าเชิ้ตขอบโค้งมน (Round Collar) ในฐานะของเสื้อเชิ้ตสำหรับสวมใส่ทำงาน และเรื่องราวของสีบนเสื้อเชิ้ตที่ต่างกันก็กลายเป็นสิ่งที่สามารถบ่งบอกถึงสถานะหรือความเป็นทางการในการใส่ได้
เชิ้ตสีน้ำเงิน Blue-Collar เป็นตัวแทนของ Worker และ เชิ้ตสีขาว White-Collar เป็นเสื้อสำหรับคนทำงานตำแหน่งสูง และหลังจากนั้นไม่นาน เสื้อเชิ้ตสีเดียวกันทั้งตัวกลายเป็นเสื้อสำหรับใส่ในโอกาสไม่เป็นทางการ และเสื้อเชิ้ตที่มีสีตัดกับคอปกขาวและปลายแขน จัดว่าเป็นเสื้อสำหรับใส่งานทางการ
หลังจากนั้นในทุก ๆ ทศวรรษก็มีการปรับเปลี่ยนดีไซน์และวัสดุที่ในการผลิตทีละน้อย ช่วงทศวรรษ 1930 ที่ดันปกเสื้อ (Collar Stay) เป็นที่นิยมขึ้นมา หน้าที่ของมัน คือ ช่วยดันให้คอปกอยู่ทรง ไม่เสียรูป ซึ่งดีไซน์ในสมัยนั้นมีลักษณะคล้าย Tie Clip โดยวิธีใช้คือเสียบระหว่างปกและเนกไทเพื่อรักษาปกให้ตั้งอยู่ทรง
เมื่อเข้าช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เสื้อเชิ้ตในอเมริกาเริ่มปรับเปลี่ยนผลิตวัสดุในการผลิตเป็นผ้าใยสังเคราะห์ เช่น ผ้าเรยอน, ผ้าไนลอน หรือผ้าวิสคอส เพราะผ้าขนสัตว์ (Wool) จะต้องใช้สำหรับถักทอเครื่องแบบทหารแทน
ที่ผ่านมาเสิ้อเชิ้ตมีภาพจำในดีไซน์แขนยาวตลอด จนเข้าช่วงปี 1950 พนักงานของบริษัทเทคโนโลยี และ บุคลากรที่ทำงานใน NASA จะใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวแขนสั้นคู่กับเนกไทตอนไปทำงาน ทำให้เสื้อเชิ้ตแขนสั้น มีบทบาทในสื่อมากขึ้น
แล้วก็มาถึงอีกหนึ่งการพัฒนาการของเสื้อเชิ้ต คือ การปรากฏของกระเป๋าเสื้อครั้งแรก เนื่องจากคนเริ่มเลิกใส่เสื้อกั๊กกันแล้ว จึงจำเป็นต้องมีกระเป๋าบนเสื้อผ้าที่ใส่จะได้มีไว้ใส่ของสำคัญติดตัวได้ เช่น ธนบัตร แว่นตา ปากกา เป็นต้น
กล่าวได้ว่าหน้าที่และความสำคัญ รวมถึงดีไซน์และวัสดุที่ใช้ในการผลิตเสื้อเชิ้ต มีการเปลี่ยนแปลงไปตามสมัยนิยม ซึ่งปัจจุบันเสื้อเชิ้ตก็ยังคงเป็นเครื่องนุ่งห่มที่ผู้ชายเลือกใส่อยู่ ไม่ว่าจะเป็นในโอกาสทางการหรือกึ่งทางการ โดยเสื้อเชิ้ตสามารถบ่งบอกสไตล์ของผู้สวมใส่ได้อีกด้วยครับ หากจะแบ่งประเภทของเสื้อเชิ้ต เราสามารถแบ่งได้จากปกเสื้อเชิ้ต ซึ่งแต่ละแบบก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป รวมถึงวิธีการใส่แมตช์กับเสื้อผ้าหรือ accessories ชิ้นอื่นด้วยครับ
สุดท้ายแล้วกว่าจะมาถึงศตวรรษที่ 21 เสื้อเชิ้ตก็มีดีไซน์ที่เปลี่ยนไปมากจากในอดีต แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงยุคหลัง ๆ คือ เสื้อเชิ้ตมักจะถูกหยิบมาสวมใส่ในโอกาสที่ต้องแต่งกายกึ่งทางการขึ้นไป เพราะยังคงความสุภาพ ดูดี สะอาดตาอยู่นั่นเอง