ถ้าคุณเป็นสาวกแบรนด์รองเท้าชื่อดังนามว่า Nike คุณต้องรู้จักคำว่า “Air Max” เพราะ Air Max ถือเป็นเทคโนโลยีที่เป็นที่สุดชิ้นหนึ่งของทาง Nike เลยก็ว่าได้ ครั้งแรกที่ทางแบรนด์คลอด Air Max 1 ครั้งแรกบนโลกใบนี้คือในปี ค.ศ. 1987 นั้น ผู้คนทั่วโลกต่างฮือฮาเป็นอย่างมากกับการได้เห็น Air Sole ที่เจาะให้เห็นกันจะๆ และตื่นตาตื่นใจอีกครั้งหนึ่งเมื่อ Air Max 97 เปิดตัวด้วยพื้น Air Sole แบบเต็มพื้น มาถึงปีนี้ Nike ได้เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ล่าสุด ที่จริงๆ แล้วก็มีข่าวลือกันมาได้สักพักใหญ่ล่วงหน้า รวมถึงรายงานการพัฒนาอยู่เป็นระยะ จนในที่สุดรองเท้าข่าวลือคู่ดังกล่าวก็คลอดออกมาในนาม VaporMax นั่นเอง
VaporMax คือสุดยอดแห่งเทคโนโลยี Air Sole ที่พัฒนาต่อยอดจนกลายเป็นพื้น Air จริงๆเกือบทุกจุด ยกเว้นเพียง Out-Sole เท่านั้น และทาง Nike แจ้งว่า “ตัวรองเท้า VaporMax นั้นมีชิ้นส่วนแห่งนวัตกรรมมากกว่า 39,000 ชิ้นอยู่ในตัวรองเท้า” แน่นอนว่าก่อนที่แบรนด์จะพัฒนามาได้ถึงจุดนี้ เราเชื่อว่า ทุกขั้นตอนที่พัฒนานั้นคือความลากเลือดแบบจริงจัง
“เราต้องการลดทุกอย่างที่ไม่จำเป็นออกไป สิ่งที่ทีมออกแบบต้องการก็คือรองเท้าที่ตอบโจทย์โดยตรงแบบเรียบง่ายที่สุด” Andreas Harlow, VP และ Creative Director ประจำทีม Footwear Design กล่าวก่อนพูดเสริมว่า “มันคือการตัดทอนรายละเอียดทั้งหมด เหลือไว้แต่สิ่งที่จำเป็น เพื่อสร้างประสบการณ์การวิ่งบน Air Sole อย่างแท้จริง”
รองเท้า Air Max รุ่นก่อนๆ นั้น มี Air Sole เป็นเหมือนตัว Support นุ่มๆ ที่ส้นเท้า แต่สำหรับ VaporMax นั้นได้ต่อยอดให้กลายเป็นพื้นที่ Support และสะท้อนแรงได้มากขึ้น ยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ผู้ใส่รู้สึกสบายที่สุดขณะเดินหรือวิ่ง
Upper Part เป็นเทคโนโลยี Flyknit พร้อม Flywire ซึ่งทางแบรนด์เลือกผลิต Flyknit แบบเฉพาะเจาะจงมากขึ้น มีการปรับแต่งจุดต่างๆ ของผ้า Flyknit ให้เหมาะสมกับหน้าเท้ามากขึ้นกว่ารุ่นอื่นๆ ที่วางขายในท้องตลาดก่อนหน้านี้ และเคลือบเสริม Support ด้วย Hyperfuse บริเวณส้นเท้า เพื่อความกระชับและทรงที่สวยงาม
ใส่แล้วรู้สึกยังไงบ้าง
ถือเป็นคำถามที่ทุกคนคงอยากรู้ เพราะก่อนหน้านี้ MDs เองก็สงสัยเหมือนกันว่า “ใส่ VaporMax แล้วจะรู้สึกอะไรบ้าง” คำตอบก็คือว่า “VaporMax เป็นรองเท้าที่เด้งมากจริงๆ” กล่าวคือ ทุกจังหวะที่ก้าวเดินนั้นจะรู้สึกได้ถึงความเด้งของตัวรองเท้า Air Sole ทำหน้าที่ช่วย Support แรงกระแทกได้ดีมากครับ และทุกครั้งที่กำลังจะยกเท้า จะรู้สึกเหมือนมันเด้งคืนกลับขึ้นมานั่นเอง ฉะนั้น “มันไม่ได้นิ่มอย่างที่คิด แต่กลับกลายเป็นว่า ตัวรองเท้าสามารถยืดหยุ่นและปรับ Mid-Sole ตามรูปเท้าได้ดี และให้ความรู้สึกเด้งๆ มากกว่านิ่มนั่นเอง”
คำถามต่อมาคือ “ดีกว่า UltraBoost มั้ย”
เป็นคำถามที่ตอบยากมากครับ เพราะ แน่นอนว่าแต่ละแบรนด์ย่อมมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป UltraBoost นั้นนิ่มสบายมากจริงๆ ครับ เราไม่เถียง (ซึ่งบางครั้งอาจจะนิ่มเกินไปจนรู้สึกไม่ Stable) แต่ VaporMax ก็เป็นรองเท้าที่ให้การตอบสนองที่ดีเยี่ยมมากเช่นเดียวกัน ดังนั้น MDs ขอตอบในความคิดเห็นส่วนตัวว่า “ถ้าคุณมองหารองเท้าใส่ง่าย เดินสบายๆ นิ่มๆ ใส่แล้ว Fashion เลย คุณควรซื้อ UltraBoost ครับ แต่ถ้าอยากได้รองเท้าที่มีเทคโนโลยี Air Sole ดีๆ ให้ความรู้สึกเด้งเหมือนเดินอยู่บนถุงน้ำเบาๆ ก้าวเท้าแบบ Stable กว่า และให้การตอบสนองได้ดีกว่าแล้วหล่ะก็ VaporMax คือคำตอบ” เพราะทั้งคู่คือที่สุดของเทคโนโลยีครับ ดังนั้นความลำบากก็เลยมาตกที่ผู้บริโภคอย่างเราๆ ว่าจะเลือกสายไหนดี
ใส่ง่ายหรือไม่ ตรงไซส์ ลดไซส์ หรือเพิ่มไซส์ดี
Nike ถือเป็นแบรนด์ที่ตรงไปตรงมาที่สุดในการเลือก Size รองเท้าครับ น้อยครั้งมากที่อาจต้องลดหรือเพิ่มไซส์ และกับ VaporMax ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นอีกเช่นเดียวกัน เพราะคุณสามารถซื้อตรงไซส์ได้เลยเพราะด้วยเทคโนโลยี Flyknit ที่จะปรับรูปได้ตามหน้าเท้าของคุณ แต่ถ้าอยากใส่แบบสบายๆ แนะนำเพิ่มครึ่งไซส์ครับ ชัวร์สุด
แต่มีข้อควรระวังครับ นั่นก็คือ รองเท้าคู่นี้อาจไม่เหมาะกับคนที่หน้าเท้ากว้างกว่าปกติ เพราะด้วยทรงที่เรียวบาง ออก Slim และทรงเล็กคล้าย Flyknit Racer ทำให้คนที่หน้าเท้ากว้าง อาจใส่ไม่สบายเท่าใดนัก ซึ่งถ้าคุณเป็นคนเท้ากว้าง อาจต้องเพิ่มไซส์ค่อนข้างเยอะ หรือเราแนะนำว่าอย่าซื้อเลยครับ เพราะคุณอาจไม่ชอบและไม่ใส่ในที่สุด
ตอนนี้ VaporMax ได้หมดจากร้านไปเรียบร้อย MDs ขอแนะนำเลยว่าถ้าครั้งหน้ามีสีดีๆ เข้า รีบวิ่งไปต่อคิวครับ อยากให้ลองจริงๆ กับเทคโนโลยี Air Sole ของ VaporMax มันจะเป็นอีกความรู้สึกที่น่าสนใจมากทีเดียว และด้วยทรง (ดูจากรูปได้) ใส่ยังไงก็ดูเท้าเล็กและได้รูปมากทีเดียว เอาเป็นว่าใส่แล้วหล่อขึ้น 20% กันเลยทีเดียว Nike VaporMax สนนราคาอยู่ที่คู่ละ 6,700.-