ปกติเวลาเราไปเดินดูกางเกงยีนส์ตามร้านค้า สิ่งหนึ่งที่หลายๆ แบรนด์มักจะแปะป้าย Hang Tag ไว้ก็คือตัวเลขพร้อมหน่วยที่เรียกว่า oz หรือออนซ์ ทิ้งท้ายไว้เสมอ ยกตัวอย่างเช่น Unbranded / Japan Blue Jeans / Naked and Famous และอื่นๆ อีกมาก ซึ่งหลายคนก็พาลคิดกันไปเองว่า “ยิ่งตัวเลขมาก ยิ่งได้คุณภาพยีนส์ที่ดี” ถึงแม้จะมีส่วนจริงอยู่บ้าง แต่สิ่งที่คุณควรรู้มากกว่าก็คือ ตัวเลขแต่ละชนิด มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อกางเกง Raw Denim ของคุณแน่นอน ว่านี้เราจะมาแบ่งระดับความหนาบางของกางเกงยีนส์ ให้ทุกท่านได้รู้จักกัน
น้ำหนักตามหน่วย oz มาจากไหน
หน่วย oz เกิดจากการนำเอาผ้า Denim ขนาด 1 ตารางหลา (ระยะเกือบ 1 ตารางเมตร) มาชั่งน้ำหนัก ซึ่งมีผลมาจากขนาดของเส้นด้าย รวมไปถึงวิธีการในการทอผ้า อธิบายได้ว่า ถ้าเกิดมีการทอที่แน่นมากกว่าปกติจนผ้าขนาด 1 ตารางหลามีน้ำหนักมาก ก็จะได้จำนวน oz ที่มาก หรือถ้าใช้เส้นด้ายเส้นใหญ่ที่มีน้ำหนักเยอะก็อาจส่งผมให้ผ้ามีความหนาที่มากกว่าปกติ จนได้จำนวน oz ที่มากตามไปด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งโดยหลักสากล น้ำหนักของผ้ายีนส์จะถูกแบ่งออกเป็น 3 ระดับดังข้อมูลด้านล่างนี้
“Lightweight” น้ำหนักผ้าที่ต่ำกว่า 12oz
กางเกง Raw Denim ที่มีน้ำหนักน้อยกว่า 12oz ไม่ได้หมายความว่าเป็นกางเกงยีนส์ที่ไม่ดีนะครับ หลายๆ แบรนด์เองก็เลือกใช้ผ้าที่น้ำหนักเบาแบบ Lightweight ในการผลิต ยกตัวอย่างเช่น Nudie Jeans ที่ส่วนมากมักนิยมเลือกเอาผ้าที่น้ำหนักไม่มากมาผลิตเป็นกางเกงยีนส์
- ข้อดี : ด้วยน้ำหนักที่เบา ทำให้ใส่สบายกว่าผ้าที่มีน้ำหนักมาก ไม่ต้องมีเวลา Break In ของตัวกางเกง กล่าวคือใส่แล้วนิ่มเลยตั้งแต่แรก ใส่ง่ายกว่าและเหงื่อออกน้อยกว่า เหมาะกับพื้นที่ที่มีอากาศร้อนชื้นแบบบ้านเรานี่แหละครับ
- ข้อเสีย : เนื่องจากผ้าไม่หนา อาจเกิดการฉีกขาดได้ง่าย หรืออาจมีส่วนผสมของ Polyester เพื่อให้ผ้าแข็งแรงและยืดหยุ่นสูงควบคู่ไปด้วย และ Fade อาจไม่คมชัดเหมือนผ้ายีนส์หนาๆ
“Med-Weight” น้ำหนักระหว่าง 12oz-16oz
ถือเป็นน้ำหนักปานกลางที่มักเจอในบรรดากางเกงยีนส์ส่วนมาก ซึ่งปกติแล้วน้ำหนักกางเกงยีนส์ที่พบได้เยอะที่สุดมักอยู่ประมาณ 14.5oz อย่างเช่นแบรนด์ A.P.C. เป็นต้น หรือ 15.7oz อย่าง Momotaro Jeans ก็ยังคงอยู่ในช่วงน้ำหนักปานกลางเช่นกัน
- ข้อดี : เป็นน้ำหนักที่ไม่หนักเกินหรือเบาเกินไป สามารถใส่ทำงาน Workwear ได้ และอายุยืนกว่าแบบ Lightweight แถมได้ Fade ที่ดีกว่าและคมกว่าอีกด้วย
- ข้อเสีย : แน่นอน หนักขึ้น ย่อมแข็งขึ้น ใส่แล้วอาจทนความแข็งไม่ไหว และร้อนมากกว่าแบบ Lightweight และต้องใช้เวลาในการ Fade ที่นานกว่า
“Heavyweight” น้ำหนักมากกว่า 16oz ขึ้นไป
ถือเป็นผ้ายีนส์ที่หนักที่สุด และเคยมีแบรนด์ที่ทำสถิติไว้ที่ 32oz ได้แก่ Naked and Famous แน่นอนว่าต้องใช้เครื่องจักรชนิดพิเศษในการผลิตผ้ายีนส์ และต้องใช้เครื่องจักรในการตัดเย็บที่พิเศษด้วยเช่นเดียวกัน โดยกางเกงยีนส์ที่มีน้ำหนักมากกว่า 16oz นั้นมีให้เลือกหลากหลายครับเช่น Indigoskin / Pure Blue Japan / Samurai Jeans / Iron Heart เป็นต้น
- ข้อดี : กางเกงยีนส์ที่ผลิตด้วยผ้าแบบ Heavyweight นั้น จะมีความแข็งแรงทนทานสูงมาก บางตัวสามารถอยู่ได้มากกว่า 10 ปี เพราะตัวผ้าที่แข็งแรงกว่า และผลิตด้วยกรรมวิธีที่พิเศษกว่ามาก และ Fade ที่ดีเยี่ยม
- ข้อเสีย : ไม่เหมาะกับประเทศที่อากาศร้อนชื้น (อย่างบ้านเรา) การใส่กางเกงยีนส์ที่ความหนาระดับนี้ถือเป็นนรกเดินดินดีๆ นี่เอง บางครั้งคุณอาจต้องตั้งสติก่อนจะยัดขาตัวเองเข้าไปในกางเกงยีนส์ที่สามารถตั้งด้วยตัวเองได้ และกว่าที่กางเกงยีนส์ระดับนี้จะใส่สบาย คุณต้องผ่าฟันกับความทรมานระดับหนึ่งเลยทีเดียว
สิ่งที่เราอยากบอกก็คือ “กางเกงยีนส์ที่ตัวเลขเยอะๆ อาจไม่เหมาะกับคุณก็ได้” ถึงแม้ว่าความแข็งแรงทนทานของตัวกางเกงยีนส์แบบ Heavyweight นั้นจะมีมากกว่าแบบ Lightweight ก็ตาม แต่คุณอาจไม่ทนใส่มันเกิน 3 ครั้งเสียด้วยซ้ำก็มี ดังนั้น คุณควรมองดูกิจกรรมของคุณเองว่า “คุณเหมาะกับกางเกงยีนส์ที่น้ำหนักประมาณเท่าใด” ส่วนตัว MDs แนะนำว่า Lightweight นั้นเหมาะกับอากาศบ้านเรามากครับ ใส่ง่ายกว่า สบายกว่า แต่ถ้าคุณอยากได้กางเกงยีนส์ที่แข็งแรงขึ้นมาอีกนิด Mid-Weight ถือว่าน่าจะตอบโจทย์ ส่วน Heavyweight นี่ควรเป็นกางเกงยีนส์ตัวที่ 4-5 ขึ้นไป หลังจากที่ได้ลอง Mid-Weight มาแล้วนั่นเอง
ก่อนตัดสินใจซื้อกางเกงยีนส์สักตัว “ลองดูน้ำหนักผ้าเสียก่อนนะครับ” เพื่อจะได้กางเกงยีนส์ที่ถูกใจมากที่สุด ไม่จำเป็นต้องตัวเลขเยอะๆ เสมอไปครับ