บ่ายวันหนึ่ง MDs ได้มีโอกาสจิบกาแฟกับผู้ชายท่านหนึ่งที่หลายๆ คนอาจรู้จักเขาในมุมของ Sneakerhead แต่สำหรับเราแล้ว เขาเป็นหนึ่งในนักสะสมรองเท้าที่หลงใหลในเรื่องราวของรองเท้าผ้าใบ และมีสไตล์ที่สุดเท่าที่เราเคยสัมผัสมา นามว่า “พี่จี๊ด เมืองสิริขวัญ” ผู้ชายที่เริ่มต้นสะสมรองเท้าด้วยความชอบและใจรักล้วนๆ จนทุกวันนี้มีรองเท้ามากมายหลากหลายคู่ใน Collection ส่วนตัว วันนี้ MDs มานั่งพูดคุยกับผู้ชายคนนี้กันครับ กับมุมมองเกี่ยวกับรองเท้าที่ไม่ธรรมดา
MDs : ใครเป็นแรงบันดาลใจให้เริ่มต้นสะสมรองเท้าเป็น Collection ส่วนตัวครับ
พี่จี๊ด : คนที่มีอิทธิพลต่อความชอบโดยที่ไม่รู้ตัวก็น่าจะเป็นคุณพ่อ เพราะทุกครั้งที่เขากลับมาจากฮ่องกง (คุณพ่อเป็นชาวจีนฮ่องกง) ก็จะมีรองเท้าใหม่มาให้เราเสมอๆ ตอนเด็กๆ ก็ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรหรอก เขาซื้ออะไรมาก็ใส่หมด พอโตขึ้นมาหน่อยก็เริ่มต้นสนใจพวกวัฒนธรรมตะวันตกอย่างกีฬา Extreme Sports, Breakdance กับดนตรี Hip-Hop พอมีเพื่อนที่ชอบแต่งตัวแนวในสไตล์ Hip-Hop เราก็ซึมซับมาจากพวกเขานี่แหละ แต่งตัวไปผิดๆ ถูกๆ ตามที่จะหาของได้ แต่ที่ไปสะดุดเข้าจริงๆ ก็คือช่วงปี 1997-1998 ที่ก็เริ่มศึกษามากขึ้น เพราะเห็นเพื่อนฮ่องกงก็เริ่มสนใจแนว Street Fashion มากขึ้น ก็เลยเริ่มซื้อนิตยสาร Street Fashion ญี่ปุ่นมานั่งดู ก็เห็นว่าเขาหยิบเอารองเท้ากีฬาบาสเก็ตบอลมาใส่คู่กับเสื้อผ้าในสไตล์ปกติ เราก็แบบ “เท่ดีนะ” เพราะแต่ก่อนคิดแค่ว่า รองเท้าประเภทไหนก็ควรใส่เพื่อจุดประสงค์มันแค่นั้น ตั้งแต่นั้นมาก็เริ่มชอบและสนใจรองเท้าผ้าใบเพิ่มมากขึ้น เริ่มสะสมจากความชอบส่วนตัวเลย
MDs : สมัยนั้นก็คงหารองเท้าคู่ดังๆ ยากสิครับ เพราะข้อมูลยังหาไม่ได้ง่ายเท่าปัจจุบัน
พี่จี๊ด : เอาจริงๆ เราว่ามันคือเรื่องของจังหวะมากกว่า คือสมัยนั้นก็ลองฝากเพื่อนหิ้วมาให้บ้าง ฝากคนโน้นคนนี้ไปดูบ้างนะ ได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ที่เราชอบหาในไทยก็มีที่สวนจตุจักรนี่แหละ ที่นี่สมัยก่อนเหมือนเป็นแหล่งรองเท้าเก่าดีๆ เลย พวกรองเท้า Vintage ดีๆ หลายๆ คู่ที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้จักแต่เราชอบมาก ก็หาเจอที่สวนจตุจักรนะ ถ้าไม่เจอพ่อค้าญี่ปุ่นสอยไปก่อน แต่เดี๋ยวนี้ก็แทบจะหาไม่ได้แล้ว โดยเฉพาะพวกรองเท้าเก่าๆ ที่ไม่เหลือให้เห็นแล้ว
MDs : พี่จี๊ดมีกฏในการเลือกซื้อรองเท้าอย่างไรบ้างครับผม
พี่จี๊ด : อย่างแรกคือ จะเลือกซื้อรองเท้าที่ตัวเองชอบก่อน ถือเป็นข้อหลักที่สำคัญมากๆ สำหรับตัวเรานะ ส่วนอย่างที่ 2 ก็ต้องไม่เกินกำลังของตัวเองในตอนนั้น ไม่ใช่ว่าซื้อแล้วเราใช้ชีวิตต่อลำบากหรือขัดสน เมื่อก่อนเคยอยากได้รองเท้าคู่นึงมาก แล้วกลัวเสียโอกาส เลยขอยืมเงินเพื่อนเพื่อไปซื้อรองเท้าบ้าง ถึงขนาดอดข้าวกลางวันก็เคย พอมองย้อนกลับไปก็ถือเป็นเรื่องน่าละอายใจที่ตัวเองไม่ควรจะทำเลย แต่ด้วยกิเลสที่ห้ามไม่ได้ ก็กลายเป็นบทเรียนที่เราเองจะไม่ทำอีกต่อไป
MDs : แปลว่า “กระแส” ความดังของรองเท้านี่ไม่ได้มีผลต่อการตัดสินใจเท่าไร
พี่จี๊ด : สำหรับตัวเราเอง เราให้ความสำคัญกับตัวเองเป็นหลักนะ กระแสความนิยมเลยกลายเป็นเรื่องรองลงไปเยอะมาก ถ้ารองเท้าคู่ไหนที่เราไม่ชอบ เราก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมี ต่อให้กระแสมันจะดีแค่ไหนก็ตาม ถ้าไม่ชอบก็คือไม่ชอบ หรือถ้าคิดแล้วว่ามันไม่เหมาะกับเรา เราก็ไม่สน เพราะโดยส่วนตัวแล้ว เรากลายเป็นคนชอบรองเท้าที่มีเรื่องราว มีที่มาที่ไป มีรายละเอียดที่ดี ต่อให้เป็นรองเท้าที่ดูธรรมดาก็ตาม ฉะนั้นกระแสความนิยมเลยไม่ค่อยมีความสำคัญเท่าไร เพราะเราเลือกที่จะ “ซื้อของที่ตัวเองชอบ ไม่ได้ซื้อของเพื่อให้คนอื่นชอบ”
MDs : งั้นรองเท้าคู่ไหนครับที่ “หามาได้ยากที่สุด” สำหรับพี่จี๊ด
พี่จี๊ด : คู่ที่หามาได้ยากที่สุดก็คงจะเป็น Air Jordan I Original 1985 เพราะเนื่องจากตัวรองเท้าเองมันผลิตมาตั้งแต่ปี 1985 และมีอายุ 30 กว่าปีมาแล้ว ทำให้หาได้ยากมากในตลาด ในเมืองไทยถ้าเป็นเมื่อก่อนสมัย 20-30 ปีที่แล้วก็หาได้ที่สวนจตุจักรนี่แหละ แต่สภาพก็คาดเดาไม่ได้ สำหรับคู่นี้ปัจจุบันในเมืองไทยก็น่าจะมีเพียงไม่กี่คู่ที่มีสภาพที่ยังดีมากๆ อยู่ สาเหตุก็คือ เด็กๆ เราจำได้ว่านี่เป็นรองเท้าผ้าใบคู่แรกๆ ที่พ่อเคยซื้อมาให้ พอโตขึ้นมา หันมาสะสมรองเท้าผ้าใบจริงจัง เราก็คิดว่าอยากซื้อรองเท้าคู่นี้กลับมาอีกครั้งเพื่อเก็บเอาไว้เพื่อนึกถึงความทรงจำในวัยเด็ก ในจุดที่ตัวเองมีกำลังทรัพย์มากพอที่จะหาได้ พอดีกับที่มีจังหวะที่ดีมากๆ ที่รุ่นน้องที่รู้จักคนนึงเขามีเก็บอยู่ 2 คู่พอดี แล้วก็มีคู่นึงที่เป็นไซส์ปัจจุบันของตัวเองในสภาพที่ดีมากๆ เกือบเหมือนใหม่ ก็เลยได้มาเก็บเอาไว้
MDs : ถ้าสมมุติว่ามีคนมาขโมยรองเท้าพี่จี๊ดไปหมด เหลือให้พี่เก็บได้คู่เดียว พี่จะเลือกคู่ไหน
พี่จี๊ด : อืม… ตอบยากมากนะ ถ้าถามคนที่สะสมรองเท้าก็คงตอบคำถามนี้ลำบาก ถ้าเป็นเราก็น่าจะเป็นรองเท้าที่เราใส่แล้วรู้สึกสบายมากที่สุดที่สามารถใส่ได้ทุกวัน ซึ่งถ้าให้ตอบตอนนี้เลยก็น่าจะเป็น NikeLab Zoom Fly SP Breaking2 เพราะเป็นรองเท้าที่ใส่สบายมากจริงๆ ก็ถ้าสมมุติว่าโดนไปหมดเลย เหลือไว้ได้คู่เดียวก็คงเป็นคู่นี้แหละมั้งที่ใส่ได้ทุกวัน แต่ถ้าเลือกได้ก็อย่ามาขโมยเลยจะดีที่สุด
MDs : เท่าที่ติดตามพี่จี๊ดมา จะไม่ค่อยเห็นพี่แต่งตัวแนว Street เท่าไร มีสาเหตุมั้ยครับ
พี่จี๊ด : คือจริงๆ ก็แต่งแหละ เพียงแต่ว่า Street Fashion ในสไตล์ของเรากลายเป็นอะไรที่เรียบๆ ง่ายๆ คลีนๆ ไม่เยอะไปแล้ว คือพยายามเป็นคนไม่ไหลไปกับกระแสนะ ซึ่งจริงๆ แล้วคนเราจะตามกระแสก็ได้ไม่มีถูกผิดหรอก เพียงแต่ว่าอยากให้ลองหันกลับมามองตัวเองเป็นหลักก่อน เพราะบางทีตามเทรนด์ไป บางอย่างก็ไม่ได้เหมาะกับตัวเราเสมอไปหรอก ก็จะกลายเป็นว่าเราฝืนตัวเองหรือเสียความเป็นตัวของตัวเองไปนั่นแหละ อย่างเราเองเนี่ เมื่อก่อนเป็นคนรูปร่างผอมมาก เทรนด์บางอย่างมันไม่เข้ากับรูปร่างของตัวเอง อีกทั้งพอถึงช่วงนึงเราเหมือนตกตะกอนความคิดของตัวเองบางอย่างที่เข้าใจตัวเองมากขึ้นว่า ไม่ใช่ทุกอย่างที่เข้ากับตัวเอง ก็เลยเลือกอะไรหรือสไตล์การแต่งตัวที่คิดว่าเหมาะสมกับตัวเราเองมากที่สุด อีกทั้งด้วยอายุที่เยอะแล้วก็ต้องเลือกแต่งตัวให้สุภาพมากขึ้นตามกาลเทศะที่เหมาะสมด้วย ซึ่งสุดท้ายแล้วมันก็คือตัวเราเองล้วนๆ นะ ถ้าชอบแบบไหนก็ใส่แบบนั้น ไม่จำเป็นจะต้องไปตามกระแสความนิยมก็ได้ เอาที่พอดีกับตัวเอง จะตามกระแสบ้างก็ได้ ไม่ผิดอะไรหรอก แต่ต้องมีกาลเทศะและรู้จักความเหมาะสม ซึ่งถือเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับเรา
MDs : พูดถึงกระแส Resell กันบ้างครับ พี่จี๊ดมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง
พี่จี๊ด : ก็ถือเป็นเรื่องที่มีทั้งข้อดีและข้อเสียรวมอยู่ด้วยกัน ข้อดีก็คือ กระแสของ Resell โดยเฉพาะรองเท้าผ้าใบมันช่วยทำให้ซีนของคนชอบและสะสมรองเท้าโตขึ้นไป มีคนชอบมากขึ้น สนใจและศึกษากันมากขึ้น แต่งตัวกันมากขึ้น อีกทั้งยังทำให้หลายๆ คนที่เปลี่ยนความชอบของตัวเองให้กลายเป็นธุรกิจเลี้ยงชีวิตของเค้าได้เลย ส่วนข้อเสียในมุมมองของตัวเองก็คือเป็นเรื่องของหลายๆ คนที่รักและชอบรองเท้าจริงๆ แต่บางทีเสียโอกาสในการได้มา เพราะของหายไปอยู่กับตลาด Resell พวกนี้ ซึ่งบางทีน้องๆ บางคนก็ไม่สามารถจะซื้อรองเท้าดังกล่าวในราคาที่สูงเกินราคาป้ายแบบนั้นได้ บางคนก็เบื่อจนเลิกชอบเลิกสะสมไปก็มี ซึ่งตรงนี้มันก็เป็นเรื่องที่มองได้หลายมุม ทั้งดีและไม่ดี แล้วแต่บริบทของมัน อย่างเราเองก็เฉยๆ เพราะหลายๆ ครั้งก็ใช้บริการของรุ่นน้องที่รู้จักกันที่เป็น Resellers ให้ช่วยหาของให้เป็นประจำก็มีเสมอๆ
MDs : สุดท้าย พี่จี๊ดมีอะไรอยากฝากถึงน้องๆ ที่กำลังอยากซื้อรองเท้า Sneaker บ้างมั้ยครับ
พี่จี๊ด : ก็อยากจะฝากอย่างแรกเลยครับ อยากให้ดูตัวของเราเองก่อนเลยครับ อยากให้เป็นตัวของตัวเอง หาความชอบของตัวเองให้เจอ เรื่องเทรนด์หรือกระแสอยากให้มองเป็นเรื่องรองหรือเป็นส่วนนึงของการตัดสินใจมากกว่า จะชอบหรือตามกระแสก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรเลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ควรจะหาจุดเหมาะสมที่ตรงกับตัวเราเอง เพราะเทรนด์บางอย่างมันไม่ได้หมายความว่าจะเหมาะสมกับคนทุกคน อีกทั้งกระแสพวกนี้มันมาไวไปไว ถ้าสมมติว่าเราซื้อของบางอย่างที่คนอื่นบอกเราว่าดี แต่ลึกๆ แล้วเราไม่ได้ชอบมันจริงๆ แต่มีเพื่อให้ทุกคนยอมรับเรา เมื่อใดวันนึงกระแสความนิยมหายไป ของชิ้นนั้นก็กลายเป็นของไม่มีคุณค่าอีกแล้ว กลับกันถ้าเราชอบของชิ้นนั้นจริงๆ มันก็จะไม่มีอิทธิพลใดๆ กับเราเลยต่อให้กระแสความนิยมจะตกลงไปก็ตาม อีกเรื่องก็คงเป็นเรื่องที่ต้องไม่ไปรบกวนคนอื่นหรือทำให้คนรอบข้างเดือดร้อน ถ้าของชิ้นนั้นมันเกินกำลังของเราเอง ก็ลองมองหาอย่างอื่นที่เราสามารถซัพพอร์ทได้ หรือรอจังหวะที่เรามีความพร้อมมากกว่านี้ เพราะเราเอง รองเท้าหลายๆ คู่ก็ไม่ได้ซื้อ ณ ช่วงเวลาที่มันออกขาย ด้วยหลายๆ เหตุผลทั้งราคาที่แพงหรือหาซื้อไม่ได้ พอถึงจังหวะเวลาที่เหมาะสมก็ค่อยตามหาและเกือบทุกครั้งก็จะได้รองเท้าที่ต้องการในราคาที่เหมาะสมด้วย รวมๆ แล้วก็คงราวๆ นี้ครับ
นี่คือนักสะสมรองเท้า Sneaker ที่มีมุมมองเกี่ยวกับรองเท้าที่แตกต่างออกไป ถือเป็น Passion ล้วนๆ มากกว่ากระแส และเลือกซื้อแต่รองเท้าที่ชอบเท่านั้น สิ่งหนึ่งที่ MDs ชอบมากๆ ก็คือคำพูดที่ว่า “เราซื้อรองเท้ามาให้ตัวเองชอบ ไม่ได้ให้คนอื่นชอบ” ถือว่าจริงเสียยิ่งกว่าจริง ว่าแต่ MDs’ INTERVIEW คนต่อไปจะเป็นใคร รอติดตามได้เร็วๆ นี้ครับ