Series ‘MDs’ Style Icons’ ได้รับแรงบันดาลใจจากหนังสือ ‘Icons of Men’s Style’ โดย Josh Sims ที่รวบรวมประวัติความเป็นมาของเครื่องแต่งกายสุภาพบุรุษฉบับคลาสสิกตั้งแต่หัวจรดเท้า ที่ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ เครื่องแต่งกายเหล่านี้ก็จะยังคงความคลาสสิกอยู่คู่กับสไตล์ของผู้ชายไปได้อีกนานแสนนาน
สำหรับผู้ชายแล้วนั้น ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของ “รองเท้าหนัง” ถือเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นลำดับต้นๆ สำหรับการแต่งกายอย่างถูกต้องเหมาะสมกับกาลเทศะแบบกึ่งทางการ (Semi Formal) ไปจนถึงแบบทางการ (Formal Wear) แต่น่าเสียดายที่ว่าเรื่องนี้กลับกลายเป็นเรื่องที่ผู้ชายส่วนใหญ่มักปล่อยปละละเลย หลายครั้งที่เราประสบพบเจอกับผู้ชายที่เชื่อว่า “รองเท้าอะไรก็ได้ ขอให้ทำจากหนัง มันก็เหมือนๆ กันหมดนั่นแหละ”
รองเท้าหนังทรงสวย คุณภาพดี ช่วยทำให้การแต่งกายของคุณดูดีขึ้นได้อย่างมากมายเลยทีเดียว
MenDetails อยากจะขอเชิญชวนให้ผู้ชายทุกๆคน ที่ใส่ใจในการแต่งกายและบุคลิกภาพของตัวเอง พยายามทำความเข้าใจเสียใหม่อีกสักครั้ง ว่ารองเท้าหนังในโลกของแฟชั่นผู้ชายนั้น มีมากมายหลายแบบ และแต่ละแบบก็มีวิธีการใส่และโอกาสในการใช้งานที่ไม่เหมือนกัน ความใส่ใจในเรื่องนี้ที่มีเพิ่มเติมแม้เพียงสักนิด ก็จะช่วยให้เราเลือกรองเท้าได้ถูกต้องและดูดีมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมครับ
The Brogue Shoes “รองเท้าหนังที่มีลวดลายฉลุ”
บัญญัติของสไตล์สำหรับผู้ชายเกี่ยวกับรองเท้าหนังฉบับดั้งเดิม ธำรงรักษาขนบธรรมเนียมเกี่ยวกับการใส่รองเท้าหนังของสุภาพบุรุษไว้ว่า “รองเท้าหนังสีดำสุภาพที่สุด และยิ่งมีลวดลายน้อยเท่าไหร่ ก็จะยิ่งสุภาพและเป็นทางการมากขึ้นเท่านั้น” รองเท้าหนังที่เรียบง่ายและลวดลายน้อยอย่าง Plain Toe Oxfords สีดำ หรือ Cap Toe Oxfords สีดำ จึงกลายเป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ ของเหล่าสุภาพบุรุษตั้งแต่เริ่มมีการใส่รองเท้าหนังหุ้มส้นเป็นต้นมา
ตรงข้ามกับวิถีของชนบทห่างไกล ที่ผู้ชายมักไม่ได้ใส่ใจกับความสุภาพมากมายอะไรนัก อีกทั้งยังมุ่งเน้นประโยชน์ใช้สอยมาเป็นอันดับหนึ่ง การสวมใส่รองเท้าหนังที่จะต้องพบเจอกับน้ำฝนและแอ่งน้ำบนพื้นถนนตามชนบทและทุ่งหญ้าในสมัยก่อน ทำให้เท้าของผู้ใส่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำโคลน วิธีการแก้ปัญหาที่ง่ายที่สุด (แต่ก็ดูจะมักง่ายด้วยเช่นกัน) นั่นคือการ “เจาะรู” ที่ตัวรองเท้ามันซะเลย ทั้งนี้เพื่อช่วยระบายอากาศให้รองเท้าและถุงเท้าแห้งเร็วขึ้น
ต้นกำเนิดของรองเท้า Brogue มาจากรองเท้า ‘Bróg’ ของกลุ่มชาวนาชาวไร่ในไอร์แลนด์และสก๊อตแลนด์ ที่เจาะรูเพื่อระบายน้ำให้เท้าแห้งไวขึ้น
กลุ่มเกษตรกรชาวไอร์แลนด์ และสก๊อตแลนด์ คือกลุ่มคนกลุ่มแรกที่คิดการเจาะรูรองเท้าเพื่อ “ระบายน้ำ” ตั้งแต่ช่วงคริสตศตวรรษที่ 16 คำว่า ‘Brogue’ เองที่เราใช้เรียกขานลายฉลุเหล่านี้ก็มีที่มาจากคำว่า ‘Bróg’ ที่แปลว่า “รองเท้า” ในภาษา Gaelic อันเป็นกลุ่มภาษาพื้นถิ่นของชาวไอริชและสก๊อตติชเช่นกัน พวกเขาได้สร้างลวดลายบนรองเท้าที่ถือเป็นสิ่งที่แปลกและพิลึกพิลั่นที่สุดในรสนิยมของสุภาพบุรุษผู้เรียกตัวเองว่าเป็นผู้ชายชั้นสูงในยุคสมัยดังกล่าว รองเท้าที่มีลวดลายฉลุแบบนี้จึงโดน “เหยียดหยาม” ให้เป็นรองเท้าสำหรับชาวนาชนบท และไม่ควรเอามาใส่อวดใครในเมืองใหญ่อย่าง London ให้อับอายขายหน้าเป็นอันขาด
ลวดลายรองเท้า Brogue มีทั้งรูปทรง Oxford และ Derby สังเกตลายฉลุตรงปลายรองเท้าจะมีรอยหยัก คล้ายตัวอักษร W หรือดูเหมือน ‘ปีกนก’ ทำให้รองเท้า Brogue ได้รับชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘Wingtips Shoes’ | Oliversweeney.com
กาลเวลาผ่านไปกว่า 300 ปีต่อมา ลวดลายฉลุบนรองเท้า ‘Bróg’ นั้นยังคงมีอยู่ แต่วัตถุประสงค์เพื่อการระบายน้ำ และระบายอากาศได้จางหายไปแล้ว สันนิษฐานว่าบ้านเมืองพัฒนามากขึ้น ถนนหนทางก็ดีขึ้นเป็นลำดับ ทำให้ความจำเป็นที่จะต้องเดินลุยน้ำจึงน้อยลงตามไปด้วย รองเท้า ‘Bróg’ ของชาวไอริชและสก๊อตติชจึงใช้ลวดลายฉลุเพื่อเป็นเพียงการประดับตกแต่งเท่านั้นโดยไม่ได้เจาะทะลุตัวรองเท้าให้เป็นรูจริงๆอีกต่อไป อย่างไรก็ดีรองเท้า ‘Bróg’ หรือ Brogue ยังคงจำกัดการใช้งานอยู่เพียงแค่ในชนบทอันห่างไกล ความรู้สึกเหยียดหยามลวดลายฉลุของคนในเมืองยังคงมีอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง รองเท้า Brogue แบบดั้งเดิมจึงมีเพียงสีน้ำตาลเท่านั้น เพื่อเน้นย้ำกับตัวเองว่า “ข้ามาจากชนบท” และไม่ควรใส่รองเท้า Brogue สีน้ำตาลเข้าเมืองเด็ดขาด (No Brown in Town)
Prince Edward, Duke of Windsor and Prince of Wales, was wearing his ‘Brogue’ in a golf course
แต่แล้วเหมือนสวรรค์ทรงโปรด เมื่อเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ผู้ดำรงพระอิสริยยศเป็นเจ้าชายแห่งเวลส์ และยังมีชื่อเสียงเป็น ‘Style Icon’ ในขณะนั้น ได้หยิบเอารองเท้า Brogue มาฉลองในช่วงทศวรรษที่ 1920 แฟชั่นการแต่งกายของพระองค์มีอิทธิพลเสมอต่อสุภาพบุรุษในแวดวงชั้นสูง นี่จึงเป็นจุดพลิกผันที่สำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้รองเท้าที่มีลวดลายฉลุ หรือ Brogue นั้น ได้รับการยอมรับในสังคมคนเมืองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนตลอด 300 กว่าปีที่ผ่านมา ชื่อเสียงของ Brogue โด่งดังไปไกลจนถึงยุโรปตะวันออก ผู้คนที่นั่นนิยมชมชอบลวดลายฉลุแบบนี้มากจนมีการผลิตรองเท้าที่มีลายฉลุกันอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะในเมืองบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี และทำให้รองเท้า Brogue ที่ผลิตในยุโรปตะวันออก ได้รับชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘The Budapester’
รองเท้า Budapester รูปทรงดั้งเดิมจากแบรนด์ Vass ในฮังการี เป็นรองเท้าทรง Derby พื้นหนา ที่มีลวดลายฉลุแบบ Full Brogue
รองเท้า Brogue เริ่มมีการปรับสไตล์มากขึ้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มีการตัดเย็บเป็นรองเท้า Brogue สีดำเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังมีการลดทอนลวดลายบนตัวรองเท้าจาก Full Brogue แบบดั้งเดิม ลดลงมาเหลือเป็น Half Brogue และ Quarter Brogue ทั้งนี้เพื่อสร้างความหลากหลายและเพิ่มความ “สุภาพและเป็นทางการ” ให้กับลวดลายมากยิ่งขึ้น เพราะว่าบัญญัติยังคงอยู่เหมือนเดิมนั่นคือ “ยิ่งลวดลายน้อยลงเท่าไหร่ ยิ่งสุภาพมากขึ้นเท่านั้น” รองเท้า Half Brogue จะปรับลายฉลุตรงหัวรองเท้าให้เป็น Toe Cap แล้วฉลุลายตรงส่วนอื่นให้มีลวดลายน้อยลงกว่า Full Brogue สักหน่อย ส่วนรองเท้า Quarter Brogue อาจมีลวดลายฉลุเพียงแค่บนเส้น Toe Cap เท่านั้นเอง
รองเท้า Lazy man Half Brogue จาก Fugashin ปรับหัวรองเท้าให้เป็น Toe Cap ทำให้มีลวดลายฉลุน้อยกว่า Full Brogue
จนถึงช่วงทศวรรษที่ 1940 เมื่อความนิยมของรองเท้า Brogue ส่งผลให้รองเท้าชนิดนี้สามารถไต่เต้า “จากดินสู่ดาว” ได้รับการยอมรับว่าเป็นรองเท้าที่เป็นทางการมากเพียงพอที่จะใส่เข้าสังคมใน Dress Code ระดับ Semi Formal หรือต่ำกว่าได้ในที่สุด ชื่อเสียงของ Brogue จึงโด่งดังไปจนถึงทวีปอเมริกา เมื่อแบรนด์รองเท้าหนังสัญชาติอเมริกันชื่อดังอย่าง ‘Florsheim’ หยิบเอา Brogue ไปผลิตที่อเมริกา และตั้งชื่อเก๋ไก๋เป็นสไตล์ของตัวเองว่า “Wingtips Shoes” ตามลักษณะของลวดลายฉลุ ที่ดูเหมือนรองเท้ามีปีกของนกสยายอยู่บนตัวรองเท้านั่นเอง ประวัติศาสตร์ของรองเท้า Brogue จึงสมบูรณ์แบบนับแต่นั้นเป็นต้นมา รองเท้า Brogue ได้กลายเป็นอีกหนึ่ง Essential สำหรับสุภาพบุรุษที่รักการแต่งกายทั่วโลก และเราเชื่อว่าบรรพบุรุษชาวนาใน Highlands คงรู้สึกภาคภูมิใจไม่ใช่น้อยถ้าได้รู้ว่า รองเท้าเจาะรูเฉิ่มๆ ของพวกเขา มีอิทธิพลต่อแฟชั่นและโลกแห่ง Gentlemen’s Style มากแค่ไหนในปัจจุบัน
แล้วคุณล่ะ มีรองเท้าลายฉลุหรือ “Brogue” แบบนี้บ้างแล้วหรือยัง?