ถึงแม้ว่า Converse จะมีรองเท้าที่ขึ้นชื่อลือชาอย่างยิ่งกับโมเดลอย่าง Chuck Taylor All-Star แต่ก็ไม่ใช่ว่าแบรนด์ Converse จะเป็นแบรนด์แรกที่เริ่มต้นรองเท้าทรงนี้นะครับ แต่กลับเป็นแบรนด์อย่าง Spalding ที่เริ่มต้นบุกเบิกรองเท้ากีฬาเป็นรายแรกโดยใช้ Design ที่คล้ายกับ Chuck Taylor มากทีเดียว และสิ่งหนึ่งที่ Converse อยากเปลี่ยนแปลงจากทรง All-Star ก็คือโลโก้ด้านข้างที่เป็นตัว C ใหญ่ (ซึ่งนอกจากตัว C ดังกล่าวแล้ว ก็ไม่มีอะไรเป็นเอกลักษณ์ให้กับตัวแบรนด์เลย และจะพบเห็นสัญลักษณ์ตัว C ได้ในรองเท้า Converse รุ่นเก่าๆ) ทางทีม Converse จึงได้เริ่มต้นสร้างรองเท้าคู่ใหม่ขึ้นโดยหยิบเอา “ดาว” มาประดับลงบนตัวรองเท้าแทนตัว ‘C’ นั่นเอง
กว่าจะเริ่มต้นผลิตจริง ก็ปาเข้าไปช่วงปี 1970s
ก่อนหน้านี้ Converse All-Star ยังเป็นรองเท้าที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากนักกีฬา Basketball เปิดตัวในช่วงปี 1917 (ซึ่งอายุครบ 100 ปีเมื่อไม่นานมานี้เอง) เรื่อยมาจนถึงราวปี 1960s ก็เริ่มมีคู่แข่งเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดไม่ว่าจะเป็น adidas Superstar และ Puma Suede เป็นต้น ทำให้แบรนด์ Converse จำเป็นต้องสร้างจุดเด่น จุดแข็งให้กับตัวสินค้าของตน จึงได้ตัดสินใจพัฒนา Product ใหม่ขึ้นราวปี 1970s
ทรงใหม่ที่พัฒนาในรูปแบบ Low-Top สำหรับนักบาสฯ ทั้งหลาย
ถือว่าเป็นเรื่องใหม่มากทีเดียวสำหรับวงการรองเท้า Basketball เนื่องจากนักกีฬาส่วนใหญ่คุ้นชินกับการใส่รองเท้าแบบ Hi-Top เพื่อกันข้อเท้าพลิก แต่ไอเดียที่อยากกระชับข้อเท้าด้วยรูปแบบ Low-Top นั้น สร้างความตื่นตาตื่นใจเป็นที่สุดสำหรับสายกีฬา Basketball และในปี 1974 ก็ได้เกิดรองเท้าที่หยิบยืม All-Star Sole แต่ปรับทรง Upper ให้ดูสวยงามขึ้น มาในทรง Low-Top (แต่มี Hi-Top ให้เลือกด้วย) สำหรับกีฬา Basketball และ Tennis ตัวรองเท้านั้นหยิบเอาเอกลักษณ์ “ดวงเดียว” มาแปะด้านข้างเท้า (แทนที่บริเวณข้อเท้าอย่างใน Chuck Taylor) จนได้ชื่อว่า “One Star” อย่างที่พวกเรารู้จักกันในปัจจุบัน
เปิดตัวได้แค่ปีเดียวเท่านั้น One Star ก็ถูก ‘Dr. J’ Irving เขี่ยตกชั้นด้วยรองเท้า Pro Leather พร้อมโลโก้ใหม่ ‘Star Chevron’ อันแสนโด่งดัง
-Upper Suede สุด Classic พร้อมพื้น Mid-Sole Chuck Taylor-
เข้าสู่ยุค 80s-90s นักเลงรองเท้า Converse หน้าใหม่ก็เริ่มล้วงลึกลงไปในประวัติศาสตร์แล้วเริ่มหารองเท้า One Star มาใส่กัน เนื่องจากเป็นทรงที่ผลิตน้อย (ผลิตออกมาในปี 1974 ครั้งเดียวเท่านั้น) จนเริ่มกลายเป็นกระแส เนื่องจากตัวรองเท้านั้นไม่เคยถูกพบเห็นมาก่อน เมื่อ Converse ได้ยินข่าวดังกล่าว ก็ตอบรับกระแสด้วยการหยิบเอาทรง One Star กลับมาผลิตใหม่โดย Baysie Wightman หนึ่งในทีม Converse ได้ลงศึกษาตลาด Retail และนำทรงดังกล่าวกลับมาวางขายในปี 1992
‘One Star’ มาดังเป็นพลุแตกเมื่อตอนที่นักร้องนำวง Nirvana นามว่า ‘Kurt Cobain’ หยิบมาใส่ในช่วงท้ายๆ ก่อนจะเสียชีวิตลง (ถึงแม้ว่าเราจะเห็น Kurt ใส่ Chuck Taylor บ่อยครั้งก็ตามที) นำมาสู่การกระหน่ำซื้อหารองเท้าคู่นี้จากสาวกวงดนตรีดังกล่าวกันแบบบ้าคลั่ง แถม Converse เองยังออก Collection สุดพิเศษสำหรับ Kurt Cobain โดยเฉพาะอีกด้วยในโมเดล ‘Kurt Cobain x Conver One Star Low’ ในปี 2008
ช่วงโด่งดังที่สุดของ One Star คือยุค 90s นี่แหละครับ โด่งดังในวงการดนตรีและเหล่านัก Skateboard เป็นหลักซึ่งอีกหนึ่งบุคคลที่ผลักให้โมเดลนี้โด่งดังมากๆ ก็คงหนีไม่พ้น Guy Mariano กับภาพยนตร์เรื่อง “Mouse” ในปี 1996 โดย Spike Jones ซึ่งใน Documentary ดังกล่าวนั้น Guy Mariano ใส่ One Star เล่น Skateboard ถึงแม้ว่าเขาจะใส่รองเท้ายี่ห้ออื่นด้วยก็ตาม แต่ไม่มีอะไรดังเท่าคู่นี้อีกแล้ว และ Converse One Star ก็จากไปจากวงการรองเท้าอีกครั้งหนึ่ง
การกลับมาอีกครั้งในปี 2015 Converse CONS จึงหยิบเอาโมเดลในตำนานมาปัดฝุ่นใหม่ได้อย่างเหมาะเจาะ กับการร่วมงานระหว่าง Converse กับทีม Design จากหลากหลายแบรนด์ตั้งแต่ปี 2015 เรื่อยมา ไม่ว่าจะเป็น Hiroshi Fujiwara (Fragment Design) / Undefeated / Neighborhood / Stussy รวมไปถึง Tyler ‘The Creator’ ที่ปลุกกระแสรองเท้าทรงนี้ได้อย่างน่าสนใจ เพราะด้วยทรงที่ดูสวยงาม เรียบ แนว Tennis Shoes ที่ดูดี Mid-Sole ที่หนาแบบพอเหมาะ ทำให้สามารถหยิบเอามาแต่งตัวได้หลากหลาย
เราเชื่อว่า ‘One Star’ คือ Converse สำหรับสาย Minimal ที่อยากใส่คู่กับกางเกง Trousers ดีๆ หรือจับคู่กับกางเกงขาสั้นในช่วง Summer ได้อย่างลงตัว
ถ้าคุณไม่สามารถหาซื้องาน Collaboration ของโมเดลนี้ได้ เราขอแนะนำ Collection ปกติที่กำลังจะวางขายเร็วๆ นี้ที่ร้าน Converse Thailand ซึ่งราคาไม่ได้ดุเดือดแต่อย่างใด แถมได้รองเท้าทรง Classic ที่มีกลิ่นความเนี๊ยบอยู่ในตัว “ถ้าคุณอยากได้ทรง Tennis Shoes สักคู่ One Star คืออีกตัวเลือกที่ไม่ตก Trends แน่นอน” เชื่อเราเถอะครับ
Converse One Star มีวางขายที่ Shop Converse แล้ว แต่เฉพาะสาขา Siam Discovery / Siam Paragon / Central Ladprao / Central Rama 2 และ Megabangna (รายะละเอียดเพิ่มเติมนั้น ติดตามได้ที่ FB : Converse Thailand ได้เลย) ค่าเสียหายอยู่ราว 3,000.- ไม่ถูกไม่แพง กำลังดีเลยทีเดียว