Air Sole, British Soul
ก่อนจะกล่าวถึงรูปแบบการผลิตระหว่าง Made in England (MIE) กับ Made in Thailand (MIT) ต้องขอเล่าให้ทราบกันสักเล็กน้อยถึงประวัติศาสตร์ช่วงหนึ่งที่ รองเท้า Dr. Martens ได้ย้ายฐานการผลิตมายังประเทศอังกฤษสักหน่อย กล่าวคือ ในช่วงปี 1901 นั้น มีโรงงานเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ก่อตั้งโดยครอบครัวตระกูล Griggs ในเมือง Northamptonshire เมืองเล็กๆ ที่มีชื่อเสียงอย่างมากด้านการผลิตรองเท้าของประเทศอังกฤษ โดยครอบครัวตระกูล Griggs นั้นได้เริ่มต้นสร้างโรงงานจากบ้านหลังเก่า ๆ ในย่าน Cobb’s Lane และเริ่มต้นผลิตรองเท้าโดยช่างฝีมือเพียงไม่กี่ท่านเท่านั้น
ก้าวเข้าสู่ปีค.ศ. 1960 ครอบครัวตระกูล Griggs ได้ซื้อสิทธิบัตรจาก คุณหมอชาวเยอรมัน 2 ท่านผู้คิดค้นรองเท้า Air-Cushioned ซึ่ง Bill Griggs ได้ซื้อเครื่องผลิตพื้นรองเท้า Air-Cushioned เครื่องพิเศษมาติดตั้งไว้ที่โรงงาน แต่เนื่องจากตัวเครื่องมีความสูงมากกว่าหลังคา ครั้นจะให้รื้อเพดานแล้วต่อเติมขึ้นไปก็ดูจะเสียทั้งเงินและเวลา Bill Griggs จึงตัดสินใจแก้ปัญหาด้วยการขุดพื้นให้ลึกลงแล้วติดตั้งเครื่องดังกล่าวแทน ซึ่งถ้าทุกท่านได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยือนโรงงานของ Dr.Martens ที่อังกฤษจริง ๆ ก็จะยังสามารถเห็นเครื่องจักรดังกล่าวที่ประจำการอยู่ใน “หลุม” ตั้งแต่ปี 1960 จนถึงปัจจุบัน
ดังนั้น ถ้าคุณเลือกซื้อรองเท้าที่ผลิตในประเทศอังกฤษ คุณจะได้รองเท้าที่ผลิตโดยช่างและรูปแบบตั้งแต่สมัยปี 1960 ซึ่งถือเป็นโรงงาน Original ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก สำหรับรองเท้า Dr. Martens นั่นเอง
-แต่มันต่างกับ Made in Thailand ขนาดนั้นจริงหรือ?-
รองเท้า Dr. Martens 1461 ‘MIE vs. MIT’
-ซ้ายคือ MIE ส่วนด้านขวาคือ MIT-
สิ่งที่น่าจะเห็นได้ชัดเจนที่สุดจาก 2 Version นี้คือ พื้น Outsole ครับ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่หลายๆ คนต่างใช้สังเกตว่า คู่ไหนเป็น Made in England (MIE) จากรองเท้าคู่ใหม่ในท้องตลาด เนื่องจากสีของพื้น Outsole ใน Version Made in England นั้นจะมีสีสันออกไปทางสีน้ำตาลเข้มทึบ และมีโครงสร้างรังผึ้งด้านในที่ห่างกว่า Version อื่น ๆ พร้อมกับประทับตรา Made in England ไว้ที่ตัวพื้นรองเท้า ส่วน Made in Thailand (MIT) นั้น สีพื้น Outsole จะออกเหลืองกว่า ใสกว่า โครงสร้างรังผึ้งด้านในละเอียดกว่า (ตีถี่กว่า) และไม่มีการตีตราใด ๆ นอกเหนือจากคุณสมบัติของพื้น PVC อันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์
-กล่อง Made in England จะเป็นสีแดงอมม่วง และตีตรา Made in England ที่หน้ากล่อง-
ด้ายเหลืองที่ไม่เหลืองอย่างที่คิด
-ด้ายเย็บของตัว MIE จะมีสีเหลืองชัดกว่ามาก ส่วน MIT สีจะอมส้ม เงาเล็กน้อย ทำให้สีดูหมองลงไปบ้าง-
อีกจุดที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวแบรนด์เลยก็คือ “ด้ายสีเหลือง” ที่นำมาเย็บตรงขอบด้านข้างของตัวรองเท้า โดยรายละเอียดจะแตกต่างกันเล็กน้อยครับ ถึงแม้จะไม่มาก แต่ก็พอมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งก็แล้วแต่ความชอบส่วนบุคคลแล้วล่ะครับว่า “คุณชอบสีเหลืองเฉดไหนกันแน่”
- สำหรับ Made in England สีจะออกเหลืองสว่างกว่ามาก ตัดเย็บได้เนี้ยบเรียบร้อยกว่า แต่มีความถี่ของการเดินด้าย หรือ SPI (Stitch Per Inch) ที่ห่างกว่า MIT พอสมควรเลยทีเดียว แต่ทดแทนด้วยความละเอียดในการตัดเย็บนั่นเอง
- ส่วน Made in Thailand สีของด้ายจะออกเหลืองอมส้มเล็กน้อย การตัดเย็บอาจสู้ตัว MIE ไม่ได้ แต่ทดแทนด้วยความถี่ของ SPI ที่มีมากกว่าตัว MIE ซึ่งนั่นหมายความว่าพื้นรองเท้าของ MIT น่าจะแข็งแรงทนทานกว่าในระยะยาว (แต่ก็ต้องระยะยาวมาก ๆ เพราะรองเท้าทุกคู่ของ Dr. Martens นั้น ทนทานแบบใช้งาน 5 ปีก็ยังไม่พังอยู่แล้ว)
จุดนี้ แต้มต่อคงต้องยกให้ MIT ครับ เพราะตัว SPI ถือว่าทำได้ดีกว่า ถึงแม้ว่าจะตัดเย็บไม่เนี้ยบเท่า แต่เราค่อนข้างให้น้ำหนักไปที่เรื่องของความแข็งแรงทนทานในการใช้งาน ซึ่งควรจะเป็นจุดเด่นที่สำคัญที่สุดของรองเท้าสไตล์ Dr.Martens อยู่แล้วครับ
คุณภาพหนัง ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
ถึงแม้จะดูเหมือนกันจากภายนอก แต่ถ้าได้สัมผัส หรือลองใส่ดู จะรู้ว่าหนังรองเท้าของทั้ง 2 คู่นี้ มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดครับ ซึ่งอย่างที่พอจะเดาออกก็คือ หนังของ MIE ทำออกมาได้ดีกว่ามาก ทั้งนิ่มกว่า และใส่สบายเท้าแบบสุด ๆ ไม่ต้องใช้เวลานานในการ Break-In รองเท้า นั่นหมายความว่า ตัว MIE จะมีโอกาสกัดเท้าคุณน้อยกว่านั่นเอง ส่วน MIT นั้น หนังจะค่อนข้างแข็งกว่า คุณภาพหลังจากที่ลองสัมผัสนั้นดูด้อยกว่า แต่อยู่ทรงกว่า และต้องใช้เวลาในการ Break-In นานสักหน่อย ใส่แล้วอาจรู้สึกเจ็บเท้าบ้างในช่วงแรก แต่ก็ไม่น่าเป็นปัญหาในระยะยาว
ทรงรองเท้าโดยรวมและรายละเอียดการตัดเย็บ
สำหรับทรงรองเท้านั้น อาจต้องขึ้นกับความชอบเป็นหลักครับ เนื่องจากทั้ง 2 คู่ ดูเผิน ๆ เหมือนจะเป็นทรงเดียวกัน แต่อันที่จริงแล้ว ทั้งสองคู่มีจุดสำคัญที่แตกต่างกันมาก เนื่องจากทั้ง 2 Version ใช้ Shoe Last ในการผลิตไม่เหมือนกันนั่นเอง
- Made in England จะมีทรงเป็น Rocking Shape มากกว่า กล่าวคือมีความโค้งงอนของรองเท้ามากกว่า ทำให้เดินได้สบายกว่า แต่หัวรองเท้าก็จะเชิดขึ้นตรงด้านหน้ามากกว่า ส่วนขอบพื้นรองเท้า (Outsole) จะกว้างกว่าค่อนข้างมาก เมื่อมองจากด้านบนจะเห็นด้ายสีเหลืองอย่างชัดเจน และการตัดเย็บหนังในส่วน Upper ทำได้ดีเยี่ยม ละเอียด และฝีเข็ม (SPI) ถี่มาก
- Made in Thailand นั้น ทรงรองเท้าจะดูเรียบร้อยกว่า หัวรองเท้างอนขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่เชิดมากเท่ากับ MIE ขอบพื้น Outsole แคบกว่า มองจากด้านบนจะไม่เห็นด้ายสีเหลืองที่ขอบรองเท้าชัดเจนนัก และฝีเข็มในการตัดเย็บชิ้นหนัง Upper นั้น ทำออกมาได้ไม่ละเอียดเท่า MIE และมี Error บ้างในบางจุดให้เห็นเป็นระยะ
– ตัว MIE จะเย็บแบบละเอียดมากจริงๆ แถมมีชื่อคนตรวจสอบด้วยนะครับ คู่ของเรานั้นตรวจสอบโดย Susan แปลว่ามันต้องดีจริง ถึงจะปล่อยผ่านมาได้ เพราะมีชื่อของเขาติดอยู่ทุกคู่นั่นเอง –
ยังมีรายละเอียดเช่น รูตาไก่ร้อยเชือกรองเท้า (Eyelet) ในตัว MIT จะเป็นพลาสติก ส่วน MIE จะเป็นโลหะตีติดกับหนัง รวมไปถึงรายละเอียดชิ้นหนังด้านข้างเท้าด้านนอกและด้านในของตัว MIE จะยาวมายังหน้าเท้ามากกว่า ทำให้ทรงโดยรวมแตกต่างกันอยู่บ้างไม่มากก็น้อยครับ ซึ่งน่าจะเป็น Pattern เก่าแก่ เมื่อเทียบกับ MIT ณ ปัจจุบัน
-เห็นความต่างมั้ยครับ? ซ้ายคือ MIT ส่วนขวาคือ MIE-
แต่เมื่อหยิบมาใส่แล้ว เราแยกความแตกต่างได้ค่อนข้างยากครับ ทั้งคู่สวยพอๆ กัน หยิบมาแต่งแนว Rugged จับคู่กับกางเกงยีนส์ หรือกางเกงสีเทาก็ออกมาดูดีใกล้เคียงกัน
-Classic Dr. Martens 1461 Made in England-
อ่านมาถึงจุดนี้ แน่นอนว่าความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุด และทุกท่านน่าจะอยากทราบก็คือ “ราคา” อย่างที่เรียนให้ทราบว่า MIE นั้นเป็นการผลิตในโรงงานดั้งเดิมที่เก่าแก่มาตั้งแต่ปี 1901 ดังนั้นคุณไม่ได้ซื้อแค่รองเท้าครับ แต่คุณซื้อความภาคภูมิใจจากประเทศอังกฤษติดมาด้วย โดยตัว MIE นั้นสนนราคาอยู่ที่คู่ละ 12,000 บาท ส่วน MIT ที่คุณภาพอาจด้อยกว่า มีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่แตกต่าง แต่ยังคงผลิตให้สวยงามและใช้งานได้อย่างทนทานตามมาตรฐาน Dr.Martens ด้วยสนนราคาที่ 6,200 บาท