เสื้อผ้า คือสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องสวมใส่ในทุกวัน ซึ่งไม่ได้เป็นแค่เครื่องนุ่งห่มเพื่อให้ความอบอุ่น ป้องกันร่างกายจากสถาพแวดล้อม หรืออันตรายเท่านั้น นับตั้งแต่มนุษย์รู้จักกับการสวมใส่เสื้อผ้า มันก็ถูกพัฒนาความหมายและความสำคัญมาตลอด จนในปัจจุบันเสื้อผ้าเป็นสิ่งที่แสดงถึงตัวตน สไตล์ และฐานะของผู้สวมใส่ โดยการผลิตเสื้อผ้าในปัจจุบันแบ่งได้เป็น ผ้า Knit (ผ้ายืด หรือ ผ้าถัก) ผ้าทอ และ ผ้าอื่น ๆ
ในวันนี้ Mendetails จะมาลงลึกถึงความเป็นมาของผ้า Knit หรือ Knitwear กันครับ ว่าผ้า Knit นี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ และเดินทางผ่านอะไรมาบ้างจนมาเป็นหนึ่งในเสื้อผ้าที่ได้รับความนิยมแบบที่เราใส่ในปัจจุบัน
รู้จักกับผ้า Knit กันก่อน
ผ้า Knit หรือผ้าถัก เป็นหนึ่งในวิธีการผลิตเสื้อผ้า ที่สามารถทำได้ทั้งแบบ Handmade หรือ ใช้เครื่องจักร โดยแบบ Handmade หรือทำมือก็ขอให้นึกถึงเวลาที่เราถักผ้าพันคอ เป็นต้น
ผ้าแบบนี้เกิดจากการใช้เข็มถักเพื่อสร้างห่วงของเส้นด้าย ให้เกิดเป็นห่วงของด้ายที่มีการสอดขัดกันไปเรื่อย ๆ (interlocking loops) กลายเป็นผืนผ้า ที่เราสามารถนำมาเชื่อมกันให้เป็นรูปเป็นร่างสำหรับการสวมได้ เสื้อผ้าที่ออกมาจะไม่มีรอยตัดหรือรอยตะเข็บด้านข้างตัวครับ การใช้ขนาดของเข็มที่ต่างกัน เส้นด้ายที่ต่างกัน และวิธีการถักที่ต่างกัน จะส่งผลต่อผิวสัมผัสและคุณสมบัติของเสื้อผ้าที่ได้ เช่น การให้ความอบอุ่น การกันน้ำ ความหนา ความยืดหยุ่น
การสร้างเสื้อผ้าด้วยวิธีการถัก ทำให้เสื้อผ้าที่ได้จะมีความความยืดหยุ่นกว่าผ้าทอครับ ทำให้มันมีอีกชื่อหนึ่งว่าผ้ายืด โดยผ้าแบบนี้ในปัจจุบันจะพบในเสื้อยืด ถุงเท้า เสื้อผ้าสำหรับเล่นกีฬา เสื้อ sweaters เสื้อคาร์ดิแกน ต่าง ๆ แม้ในปัจจุบันการถักผ้าด้วยมือจะเป็นงานอดิเรกมากกว่าธุรกิจจริงจัง แต่ในอดีตที่ยังไม่มีเครื่องจักร การถักผ้าถือเป็นเรื่องจริงจังถึงขนาดมีการตั้งสมาคมขึ้นมาเลยทีเดียวครับ
ผ้า Knit เริ่มต้นจากถุงเท้าและพัฒนาไปเป็นแฟชั่นทันสมัยในยุค 20s
การถักผ้าเป็นหนึ่งในวิธีการสร้างเสื้อผ้าที่เก่าแก่ที่สุดวิธีหนึ่งของมนุษย์ โดยเสื้อผ้าที่สร้างจากการถักที่เก่าแก่ที่สุดที่ค้นพบ คือ ถุงเท้า ครับ ขุดพบที่อียิปต์ ช่วงเวลาของมันย้อนกลับไปได้ถึงศตวรรษที่ 11 เจ้าถุงเท้านี้มันมีความซับซ้อนในการถักมาก ทั้งสี ลวดลาย ทำให้นักประวัติศาสตร์เชื่อว่า มนุษย์รู้จักการถักมานานกว่าที่จะมีบันทึกใด ๆ ย้อนไปถึงได้
แต่การถักของมนุษย์ในยุคก่อน จะเรียกว่าการถักแบบ Knit ได้ไม่เต็มปาก เพราะมีการใช้วิธีอื่น ๆ ที่คล้ายกับการถัก และวิธีบางอย่างสูญหายไปในหน้าประวัติศาสตร์ เช่น วิธีการถักถุงเท้าของชาวโรมัน – อียิปต์ในศตวรรษที่ 3 – 5 เป็นต้น
เชื่อกันว่าการถักเกิดขึ้นในตะวันออกกลาง ก่อนจะแพร่เข้าสู่ยุโรป สมาชิกของราชวงศ์มีการจ้างช่างถักมาจากตะวันออกกลาง เพื่อมาถักผ้าให้โดยเฉพาะ ก่อนที่เวลาต่อมาจะเข้าเอเชียทางจีนกับอินเดีย ที่รู้จักการทอผ้าและผ้าไหมก่อนแล้ว หลังจากนั้นการถักก็เป็นองค์ความรู้ที่แพร่ไปทั่วโลกตามการเดินทางของมนุษย์ และถูกพัฒนาต่อยอดเรื่อยมา
ผ้าถักที่มีการบันทึกข้อมูลทางประวัติศาสตร์อย่างจริงจัง ปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์ยุโรปในช่วงศตวรรษที่ 13 / 14 เป็นต้นมา ปรากฏทั้งในบันทึก ภาพวาด หรือเศษผ้าที่พบในสุสาน ผ้าถักเป็นที่นิยมของประชากรแถบสแกนดิเนเวียกับเกาะอังกฤษมาก เพราะสามารถให้ความอบอุ่นได้ดี การถักจึงกลายเป็นทักษะพื้นฐานที่ไม่ว่าชายหรือหญิงในยุคนั้นต้องเรียนรู้เอาไว้
เมื่อเข้าสู่ปลายศตวรรษที่ 16 มีการคิดค้นเครื่องมือที่ช่วยในการถักผ้าในปี 1589 โดยชายชาวอังกฤษชื่อ William Lee แต่ว่าเครื่องมือนี้ไม่ถูกพระทัยของราชินี Elizabeth I นัก ทำให้เขาไม่สามารถจดลิขสิทธิ์ได้ แต่กษัตริย์ Henry IV ของฝรั่งเศสมองเห็นโอกาสในเครื่องนี้ พระองค์จึงออกเงินสนับสนุน จนเครื่องมือนี้แพร่ไปทั่วยุโรป (รวมถึงอังกฤษที่ปฏิเสธเขาในตอนแรก) และมีการก่อตั้งบริษัทขึ้นในที่สุด
เมื่อโลกเข้าสู่ยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรม การกำเนิดเครื่องจักรไอน้ำ ทำให้ธุรกิจการถักผ้าแปรสภาพจากการใช้เครื่องมือถักทำงานที่บ้าน มาเป็นโรงงานถักผ้าเต็มรูปแบบ ทำให้การถักด้วยมือลดความนิยมลงไปในฐานะธุรกิจ แต่กลับได้รับความนิยมในฐานะงานอดิเรกแทน
ในศตวรรษที่ 20 ช่วงยุค 20s Knitwear ได้รับความนิยมอย่างมากในโลกตะวันตก มีการผลิตเพื่อจำหน่ายในวงกว้าง โดยเฉพาะเสื้อ sweaters ที่กลายเป็นแฟชั่นของคนทุกเพศทุกวัย รวมไปถึงเนกไท และเครื่องแต่งกายที่ใช้ในการกีฬา Fashion Designer ชั้นนำของโลก อย่าง Coco Chanel ก็ยังลงมาเล่นกับกระแสของผ้าถัก และในทศวรรษต่อมามีการคิดค้นซิปกับเส้นด้ายสังเคราะห์ ผ้าถักถูกนำมาผสมผสานกับเทคโนโลยีใหม่นี้
ในช่วงสงครามโลก เส้นด้าย ขนสัตว์เป็นสิ่งขาดแคลน ทำให้หลายประเทศส่งเสริมให้ผู้หญิงที่อยู่แนวหลัง นำเสื้อผ้าเก่ากลับมาใช้ซ้ำ ถักเป็นเสื้อผ้าใหม่ส่งไปให้ทหาร ทำให้เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงในปี 1945 ในช่วงยุค 50s – 60s เป็นยุคทองของผ้าถัก เส้นด้ายมีสีและประเภทให้เลือกหลากหลาย การถักผ้าจึงกลับมาเป็นทักษะที่ทุกคนต้องเรียนรู้อีกครั้ง แบรนด์แฟชั่นออกสินค้าใหม่ ๆ เกี่ยวกับผ้าถัก และมีเทคโนโลยีใช้เครื่องจักรสำหรับผลิตผ้าถักสำหรับขายในวงกว้าง
ยุคปัจจุบันที่คนเห็นคุณค้าผ้า Knit เพราะเป็นงานฝีมือ
เมื่อมาถึงยุค 80s นั้นกลายเป็นยุคเสื่อมถอยของผ้าถัก sportswear ได้รับความนิยมในยุคนั้นแทน ทำให้ Knitwear กลายเป็นแฟชั่นสำหรับคนรุ่นเก่า และมีราคาถูกลงเรื่อย ๆ เพราะเทคโนโลยีในการผลิต ทำให้ใครก็สามารถเข้าถึงได้
พอมาถึงยุค 90s กิจการเกี่ยวกับผ้าถักส่วนใหญ่ก็ล้มหายจากไป บางรายก็ควบกิจการเข้ากับบริษัทอื่น ๆ แต่การถักผ้าด้วยมือยังคงได้รับความนิยมในฐานะงาน craft และงานอดิเรกไม่เปลี่ยนแปลง
การเข้ามาของอินเตอร์เน็ต ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของกระแสผ้าถักอีกครั้ง การเติบโตของอินเตอร์เน็ตทำให้คนได้มาพบกัน แลกเปลี่ยนข้อมูล ความสนใจ รวมถึงกระแสของทำมือ (DIY) ที่เริ่มได้รับความนิยม งาน Craft ถือเป็นงานปราณีต ทำให้ราคาของมันพุ่งสูงขึ้น ในขณะที่ผ้าถักในอุตสาหกรรมแฟชั่นก็ราคาถูกลงไปอีก
บวกกับในศตวรรษที่ 21 มีเส้นด้าย เส้นใยผ้าให้เลือกมากมาย ทั้งผ้าสังเคราะห์ ขนสัตว์ เส้นใยจากพืช ผ้าไหม ทำให้เกิดวิธีการถัก ลวดลายและสินค้าใหม่ ๆ ทั้งจากการทำมือและในอุตสาหกรรมแฟชั่น เกิดการรวมกลุ่มกันเป็น Community และการก่อตั้งเว็บเพื่อรวมรวบกลุ่มคนที่สนใจผ้าถัก และแฟชั่นของผ้าถัก ทำให้มีกิจกรรมอย่าง Yarn bombing ที่เป็นการเอาผ้าถักไปสวมทับสิ่งก่อสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้น หรือสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติ ไปจนถึงการนัดพบปะ การเขียนบทความให้ความรู้
แฟชั่น Knitwear ยังถูกสวมใส่โดยบุคคลที่มีชื่อเสียง ไปจนถึง Influencer ในอินเตอร์เน็ตหลายคนทำให้ Knit ยังคงได้รับความนิยมในฐานะเสื้อผ้าแฟชั่น โดยเฉพาะในฤดูหนาวที่นอกจากจะใส่ผ้า Knitwear กันหนาวแล้ว ยังเป็นการแสดงออกในเรื่องแฟชั่นด้วย
ผ้าถักในมุมของโลก Fashion ที่หลายแบรนด์หยิบไปใช้
ในปัจจุบันมีแบรนด์แฟชั่นมากมายที่ผลิตสินค้า Knitwear มีทั้งระดับทั่วไปจนถึงไฮเอนด์อย่างเช่น Chanel, Dolce & Gabbana และ Uniqlo ไปจนถึงแบรนด์มีประวัติเกี่ยวกับ Knitwear มายาวนานอย่าง John Smedley, Loro Piana และ Pringle Of Scotland และอีกมากมายเหลือจะกล่าว โดยเฉพาะ Collection ช่วงฤดูใบไม้ร่วง – ฤดูหนาวที่เราจะได้เห็นเสื้อผ้า Knitwear จากแทบทุกแบรนด์
รวมถึงยังมี Knitwear Designer หลายคนที่ฝากผลงานไว้ให้เป็นที่รู้จัก เช่น Pam Allen Jared Flood Olga Buraya-Kefelian ที่ออกแบบลวดลายผ้าถักต่าง ๆ
และถ้าจะพูดถึงผลิตภัณฑ์ผ้า Knitwear ที่โด่งดัง หนึ่งในนั้นก็คงหนีไม่พ้นผ้า แคชเมียร์ (Cashmere) จากขนแพะแคชเมียร์ที่มีน้ำหนักเบา นุ่มสบาย มีความยืดหยุ่นสูง ให้ความอบอุ่นในอากาศหนาว แต่ให้ความเย็นสบายในฤดูร้อน ในอดีตถือเป็นผ้าชั้นสูงใช้ในราชวงศ์ แต่ปัจจุบันที่เทคโนโลยีผลิตผ้าแคชเมียร์ได้มากขึ้น ทำให้แม้จะราคาสูงก็ยังอยู่ในระดับที่หลายคนจับต้องได้
โดยวิธีการผลิตผ้าแคชเมียร์ได้จะต้องใช้กรรมวิธีการถักเท่านั้น จึงเป็นเหตุที่ว่าทำไมหลายแบรนด์ยังคงต้องผลิตสินค้า Knitwear ออกมานั่นเองครับ ตัวอย่างแบรนด์ที่หยิบแคชเมียร์มาเป็นวัตถุดิบในการผลิตคอลเลคชั่นใหม่ ๆ อยู่เสมอ เช่น แบรนด์เสื้อโปโลอันแสนโด่งดังของฝั่งอเมริกา Polo Ralph Lauren ครับ มาทั้งในทรงเสื้อสเวตเตอร์แขนยาว ฮู้ดดี้สำหรับใส่ช่วงอากาศหนาว หรือสเวตเชิ้ตแขนสั้นที่ดูหยิบใส่ง่ายขึ้นหน่อย ไปจนถึงไอเท็มนอกจากเสื้อผ้าอย่างผ้าพันคอแคชเมียร์ก็มี
สำหรับในประเทศไทยที่สภาพอากาศร้อน แม้ Knitwear ที่เอาไว้กันหนาวจะไม่ได้รับความนิยมนัก แต่ผ้ายืดอื่น ๆ อย่างเนกไท ถุงเท้า หรือเสื้อยืด ที่ออกแบบมาเพื่อความสบายเป็นแฟชั่นที่น่าสนใจอยู่ สำหรับใครที่เดินทางต่างประเทศบ่อยแล้วติดตามคอลเลคชั่นหน้าหนาวที่มี Knitwear เยอะ ก็คงต้องรอชมกันว่าจะมีแบรนด์ไหนสร้างสรรค์แฟชั่นผ้านี้ออกมาให้โดดเด่นขึ้นได้อย่างไรครับ