บทความชิ้นนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากบทความเรื่อง Straight Copying: How Gay Fashion Goes Mainstream เพื่อบอกเล่าวิวัฒนาการของสไตล์สำหรับเพศที่เรียกตนเองว่า “ผู้ชาย” ที่มักได้รับอิทธิพลหรือบางครั้งก็ “เลียนแบบ” จากสุภาพบุรุษกลุ่มเพศทางเลือกหรือ “เกย์” ได้อย่างน่าสนใจ
แม้อาจดูไม่ยุติธรรมนัก แต่หากจะพูดแบบเหมารวม เราคงสามารถพูดได้ว่า “เพศชาย” เป็นเพศที่มีนิสัย “ง่ายๆ สบายๆ เข้าไว้” ซึ่งนิสัยหรือ Stereotype ดังกล่าวมีที่มาจากหลากหลายปัจจัย พวกเรามักได้รับการสอนสั่งให้กินง่ายอยู่ง่าย และไม่ต้องใส่ใจกับรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ โดยปล่อยสิ่งเหล่านั้นให้เป็นหน้าที่ของ “เพศหญิง” ซึ่งจะได้รับการตัดสินแบบเหมารวมในทางตรงกันข้ามเช่นกันว่าเป็นเพศที่ละเอียดอ่อน และเอาใจใส่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ มากกว่าผู้ชาย
อุปนิสัยแบบเหมารวม หรือ Stereotype ดังกล่าว ส่งผลกระทบถึงวิถีชีวิตหลายด้านของผู้ชาย รวมถึงเรื่องของ “สไตล์การแต่งกาย” ที่เรามักจะเห็นเพศชายให้ความสำคัญกับเรื่องนี้น้อยกว่าเพศหญิง ผู้ชายหลายคนมองผู้ชายคนอื่นๆ ที่แตกต่างจากตน และเอาใจใส่ในเรื่องบุคลิกภาพและการแต่งกายของตัวเองอย่างละเอียดถี่ถ้วนว่าเป็นผู้ชายที่ “ไม่สมชาย” นั่นเพราะมันไม่ใช่ Stereotype ที่พวกเราเรียนรู้มา หรือได้รับการสั่งสอนมาแต่เดิม
ทั้งหมดข้างต้นคือยุคที่เรายังคงมองว่า “เพศทางเลือก” หรือ “เกย์” เป็นสิ่งที่น่าขบขัน และสามารถนำมาล้อเลียนเพื่อทำให้ผู้ชายสักคนหนึ่ง “ด้อยค่าลง” ได้ไม่ยาก คำถามเช่น “เป็นเกย์หรือไง?” ถือเป็นคำถามที่คนเป็นเกย์ไม่มีใครอยากตอบ ส่วนคนที่ไม่ได้เป็นก็รู้สึกเหมือนโดนดูถูกดูแคลนได้อย่างน่าประหลาด แต่ในยุคสมัยที่เรื่องดังกล่าวค่อยๆ คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น ความภูมิใจส่วนบุคคล หรือ Self-esteem ของผู้ที่เป็นเกย์เพิ่มขึ้น รวมถึงการยอมรับทางสังคมที่เริ่มเปิดกว้างมากขึ้น ผู้ที่เป็น “เกย์” มักได้รับคำชื่นชมจากผู้หญิง ว่าเป็นคนที่มีความละเอียดอ่อน เข้าอกเข้าใจ และมีสไตล์การแต่งกายที่ดีกว่าผู้ชายปกติทั่วไปมากมายนัก ทำให้มีจุดหนึ่งที่น่าสนใจและน่าขบคิดไม่น้อยว่า “แท้จริงแล้วที่ผ่านมา ‘ผู้ชาย’ ได้รับอิทธิพลจากกลุ่ม ‘เกย์’ มากน้อยขนาดไหน?”
แยกออกไหมว่าใครเป็นเกย์?
ย้อนกลับไปสู่ “คำถามต้องห้าม” ที่ผู้ตอบมักรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ เพราะในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่มีผู้ชายหรือผู้หญิงคนไหนจะเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายแล้วถามโต้งๆ ว่า “คุณเป็นเกย์หรือไม่?” หรือ “คุณเป็นเลสเบี้ยนหรือเปล่า?” ดังนั้นความสัมพันธ์ของกลุ่มเกย์และเลสเบี้ยนจึงต้องเริ่มต้นจากการ “คาดเดา” โดยมองจากบุคลิกลักษณะภายนอก, การพูดจา และ “สไตล์การแต่งกาย” ซึ่งผู้ชายหรือผู้หญิงที่เป็นเกย์และเลสเบี้ยนมักจะมี “โค้ดลับ” บางอย่างในสไตล์การแต่งกายของตัวเอง เพื่อที่จะบอกใบ้ให้อีกฝั่งรู้ว่าพวกเขาหรือเธอเป็นกลุ่มเดียวกัน นี่เองอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้สไตล์ของเกย์ในแต่ละยุคสมัย มีบางจุดที่ต้อง “แสวงหาความแตกต่าง” จากแฟชั่นกระแสหลักที่ตัวเองดำรงอยู่
Oscar Wilde กับปริศนาของ “ดอกคาร์เนชั่นสีเขียว”
ออสการ์ ไวลด์ (Oscar Wilde) คือนักคิดนักเขียนชาวไอริชที่ถือเป็น Style Icon คนหนึ่งในช่วงยุคคริสต์ทศวรรษที่ 1890’s เขามีชื่อเสียงในเรื่องการแต่งกายที่โดดเด่นและกล้าหาญที่จะเล่นกับสีสัน ซึ่งออสการ์ ไวลด์ เองก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ชอบผู้ชายด้วยกัน และในยุคนั้นกลุ่มเกย์จะนิยมติด “ดอกคาร์เนชั่นสีเขียว” ประดับไว้ที่ปกเสื้อสูท หรือเสื้อโค้ท อันถือเป็นเครื่องหมายที่ “รู้กัน” ภายในกลุ่มนั่นเอง ต่อมาเมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป กลุ่มเกย์ก็มีการเปลี่ยน “สัญลักษณ์” ที่จะบอกใบ้ตัวตนของตัวเองไปด้วยเป็นระยะๆ เช่น การใส่แหวนที่นิ้วก้อย, การสวมถุงเท้าสีฟ้าที่เป็นอันรู้กันในอังกฤษ หรือ ผ้าพันคอ Cravatte สีเขียวในฝรั่งเศส ไปจนถึงการสวมใส่รองเท้าหนังกลับหัวแหลมๆ (Pointy Suede Shoes) ที่ถือเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้กันแพร่หลายอย่างยิ่งในกลุ่มเกย์ของอังกฤษช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1960’s เป็นต้น
สไตล์ของ ‘Gay’ มักล้ำหน้ากว่าสไตล์ของ ‘Men’ อยู่หนึ่งก้าว
ความที่กลุ่มเกย์จำเป็นต้องหา “ความแตกต่าง” ที่เป็นโค้ดลับเพื่อบอกใบ้ให้รู้กันนี่เอง จึงเป็นที่มาของสไตล์การแต่งกายหรือแฟชั่นที่แตกต่างออกไปโดยอัตโนมัติ ผู้ชายที่เป็นเกย์จำเป็นต้อง “ล้ำหน้า” ในเชิงแฟชั่นอยู่เล็กน้อยเสมอ บ้างก็แฝงสิ่งเหล่านี้ลงไปในรายละเอียดให้ดูแตกต่างโดยไม่เป็นจุดเด่น (Subtle) แต่ก็มีไม่น้อยที่ตั้งใจแต่งกายให้แตกต่างอย่างโจ่งแจ้ง ตัวอย่างเช่นในโลกตะวันตกช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1970’s – 1980’s คือช่วงที่การแสดงออกถึงตัวตนของกลุ่มคนรักร่วมเพศผ่านการแต่งกายนั้นเป็นไปอย่างเข้มข้น
ตัวอย่างของ The Clone Look ช่วงยุค 1980’s ซึ่งกลุ่มเกย์นิยมสวมใส่และแสดงตัวตนให้เป็น “ผู้ชายมากๆ” เพื่อย้อนแย้งกับความรับรู้ของทั่วไป เช่น การไว้หนวดไว้เครา อีกทั้งจะนิยมสวมใส่กางเกงที่รัดรูปมากกว่า
The Clone Look คือคำเรียกแฟชั่นของเกย์ในยุคดังกล่าว และสิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ มันเป็นสไตล์ที่ช่างคล้ายคลึงกับแฟชั่นของ “ผู้ชาย” ในยุคถัดมายิ่งนัก ตัวอย่างเช่น เสื้อยืดที่ค่อนข้างรัดและฟิตเข้ากับรูปร่างของผู้สวมใส่, กางเกงยีนส์สไตล์รัดรูปหรือ Skinny Jeans, แจ็กเก็ตหนังสีดำ, เสื้อแจ็กเก็ตยีนส์, เสื้อฮาวายหรือ Aloha Shirt รวมทั้งการไว้หนวดเครา ซึ่งในยุคดังกล่าวผู้ชายที่เป็นกลุ่มรักต่างเพศนั้นไม่นิยมทำหรือสวมใส่กันแพร่หลายนัก
The Clone Look คือตัวอย่างชั้นดีของการที่แฟชั่นของกลุ่มผู้ชายรักร่วมเพศ หรือ เกย์ กลายมาเป็นกระแสแฟชั่นหรือสไตล์ที่ดูดีของ “ผู้ชายกลุ่มรักต่างเพศ” ในเวลาต่อมา กางเกงยีนส์แบบ Skinny Jeans ที่เคยเป็นสิ่ง “เกย์มาก” สำหรับผู้ชายไทยในยุคก่อน แต่ในช่วงปี 2010 เป็นต้นมา Skinny Jeans กลายเป็นสิ่งที่ผู้ชายแทบทุกคนถามหา แม้แต่วงดนตรีร็อกชื่อดังที่เป็นไอดอลของคนไทยก็ใส่ Skinny Jeans ได้อย่างไม่เคอะเขินโดยไม่มีใครรู้สึกว่า “เกย์มาก” อีกต่อไป และในทางกลับกันเราก็เริ่มจะเห็นผู้ชายที่เป็นเกย์ หันหน้ากลับไปสู่กางเกงที่มีช่วงขาใหญ่ขึ้น, พริ้วขึ้น แทนการใส่กางเกงรัดรูปแบบกระแสหลักในยุคเดียวกัน
ในปัจจุบันเราเริ่มเห็นกลุ่มเกย์ เปลี่ยนไปใส่กางเกงทรงใหญ่และพริ้วมากขึ้น ซึ่งสวนทางกับแฟชั่นผู้ชายในยุคเดียวกัน และเป็นนการวนกลับไปสู่แฟชั่นผู้ชายในยุค 1930’s-1940’s ที่ผ่านมา
ปรากฎการณ์ซึมซับเอาสไตล์ของ “เกย์” มาเป็นกระแสแฟชั่นของตัวเองสำหรับผู้ชายรักต่างเพศเช่นนี้ บางทีอาจเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ แต่ก็มีเหตุผลบางอย่างรองรับอยู่บ้าง ตัวอย่างเช่น บรรดาแฟชั่นดีไซนเนอร์ชื่อดังที่เป็นเกย์ แต่ก็มีรสนิยมที่ดีเลิศและสามารถแนะนำเรื่องการแต่งกายที่ดีให้กับผู้ชาย ซึ่งเมื่อมาถึงจุดนี้ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีกลิ่นอายและสไตล์ของ “เกย์” แฝงลงไปในคำแนะนำและคอลเล็กชั่นเสื้อผ้าใหม่ๆ ของตัวเองอยู่บ้างไม่มากก็น้อย นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เราเองได้เห็นการผลิตซ้ำของวงจรดังกล่าวอยู่เรื่อยๆ ในกระแสแฟชั่นของโลกและของไทย ไม่แน่ว่าเราอาจจะสามารถทำนายความนิยมเรื่องสไตล์การแต่งกายของผู้ชายในอนาคต ผ่านการสังเกตความนิยมในการแต่งกายของกลุ่มเกย์ในปัจจุบันก็เป็นได้ ว่าแล้วลองสังเกตเพื่อนของคุณที่เป็นเกย์ดูให้ดีสิครับ ว่าทุกวันนี้เขาหรือเธอชอบแต่งตัวสไตล์ใดกันบ้าง และแตกต่างกับเรามากน้อยแค่ไหน อย่างไร?