“น้ำหอม” สิ่งที่ให้มากกว่าแค่กลิ่น ถ้าย้อนกลับไปยังสมัยโบราณ ต้องกล่าวกลับไปถึงยุคที่มนุษย์เริ่มต้นตั้งรกราก ถิ่นฐาน อย่างยุคกรีก โรมัน ถือเป็นยุคเริ่มต้นของความนิยมใช้เครื่องหอม โดยผู้ชายชาวกรีก โรมัน มักจะหยิบเอาเครื่องหอมดังกล่าวไปโรงอาบน้ำรวม (Public Bath House) และหลังจากอาบน้ำเสร็จก็จะใช้เครื่องหอมดังกล่าวเพื่อดับกลิ่นที่นอน ฯลฯ ที่ติดตัวมาจากที่บ้านเป็นต้น จวบจนทุกวันนี้น้ำหอมได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการแต่งกายไปแล้วครับ เพราะนอกจากมันจะให้ความหอมแล้ว ยังช่วยให้เราอารมณ์ดี กระตุ้นความสนใจของเพศตรงข้ามได้อีกต่างหาก
แต่เคยสงสัยมั้ยครับว่า “น้ำหอมที่เก่าแก่ที่สุด” คือยี่ห้ออะไร
นี่คือคำถามที่ MDs อยากรู้ว่าตลอดหลังจากที่เราเดินเลือกซื้อน้ำหอมที่วางอยู่บนชั้นในห้างสรรพสินค้าชั้นนำต่างๆ “ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นแบบไหน หอมอย่างไรก็ตาม น่าจะมีต้นกำเนิด หรือจุดเริ่มต้นที่ไหนสักแห่ง” และจากที่เราลองค้นคว้าดู เราก็ได้พบคำตอบคร่าวๆ ที่น่าพอใจแล้วครับว่า ที่มาที่ไปเป็นอย่างไร
“น้ำหอม” เกิดขึ้นครั้งแรกในช่วงปี 1390s
-โบสถ์ St. Giacomo ที่ประเทศอิตาลี และลานกว้างที่น่าจะใช้เป็นที่ปลูกดอกไม้-
พออ่านมาถึงจุดนี้ หลายๆ คนคงคิดว่า “น้ำหอม” นั้นต้องถูกคิดค้นในประเทศฝรั่งเศสแน่นอน แต่ความจริงนั้นไม่ใช่ครับ “น้ำหอม” ตามการค้นคว้าของชาวตะวันตกนั้นพุ่งเป้าไปที่เดียวกันนั่นก็คือประเทศอิตาลี ในช่วงปี 1380s นักบวชแห่งโบสถ์ St. Giacomo แห่งเมือง Vicovaro ในประเทศอิตาลีนั้น ต้องทำการต้อนรับราชินี Giovanna D’Angio Capri เลยทำการปลูกดอกไม้นานาชนิดไว้เพื่อต้อนรับ ซึ่งให้หลังจากนั้นเพียง 3 วัน น้ำที่หล่อเลี้ยงดอกไม้เหล่านั้นก็เริ่มต้นสกัดเอาความหอมดังกล่าวออกมาจนกลายเป็นน้ำที่หอมฟุ้งไปทั่ว และถือเป็นต้นกำเนิดของน้ำหอมจากเมือง Capri จนในปี 1948 ก็ได้มีการนำเอาบันทึกเกี่ยวกับการดอกไม้ที่ใช้ปลูกมาผสมผสานจนกลายเป็นน้ำหอมที่มีชื่อว่า “Fiori di Capri” โดยแบรนด์ที่มีชื่อว่า Carthusia นั่นเอง
แต่ถ้าพูดถึงการจงใจคิดค้นสูตรน้ำหอมจริงๆ นั้นเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1709
น้ำหอมที่ถูกบันทึกอย่างเป็นทางการว่าด้วยการคิดค้นในแบบฉบับของตัวเองก็คือ Eau de Cologne คิดค้นโดย Johann Maria Farina ซึ่งชื่อ Eau de Cologne นั้นเป็นแปลเป็นไทยว่า “น้ำแห่งเมือง Cologne” นั่นเอง โดย Farina เองนั้นก็เป็นชาวอิตาลีเช่นเดียวกัน หลังจากที่คิดค้นน้ำหอมได้ที่เมือง Cologne จึงได้เขียนจดหมายหาน้องชายตัวเองว่า “ฉันได้ค้นพบกลิ่นที่ทำให้นึกถึงอิตาลีในช่วงฤดูใบไม้ผลิ พร้อมกลิ่นอ่อนๆ ของดอก Daffodils และดอกส้มหลังฝนตกใหม่ๆ” ซึ่งกลิ่นดังกล่าวถูกตั้งชื่อว่า Original Eau de Cologne NO.4711 ซึ่งอ้างอิงกับสถานที่คิดค้นได้แก่ Glockengasse No. 4711 นั่นเอง
ปัจจุบัน คุณยังสามารถหาซื้อน้ำหอมทั้ง 2 กลิ่นนี้ได้อยู่ และถือเป็นน้ำหอมที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่ยังคงผลิตออกว่าจำหน่ายแบบ Mass Production โดยกลิ่น Fiori di Capri นั้นเป็นของแบรนด์ Carthusia ส่วน Original Eau de Cologne No. 4711 สามารถหาซื้อได้จาก 2 แหล่งได้แก่ Farina 1709 Eau de Cologne จากแบรนด์ Johann Maria Farina gegenüber dem Jülichs-Platz และ 4711 Echt Kölnisch Wasser แบรนด์ 4711 ของบริษัท Mäurer & Wirtz ประเทศเยอรมัน จริงๆ ยังมีกลิ่นอีกมากมายที่มีประวัติครับ ไว้เราจะมาเล่าให้ฟังใหม่ในบทความหน้า
Credit : justcollecting / penguinandpaper / wikipedia