แม้ว่าหนังดังอย่าง No Time To Die 007 จะลาโรงไปตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว แต่สำหรับกระแสการหานักแสดงคนใหม่มารับบท 007 คนต่อไปยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าจะไปลงเอยที่ใคร ซึ่งในปี 2022 นี้ก็บรรจบครบ 60 ปี ที่ภาพยนตร์ชุดนี้ภาคแรกอย่าง Dr.No เข้าฉายในปี 1960 พอดิบพอดี นั่นทำให้ MenDetails อยากจะพาทุกคนย้อนไปถึงต้นกำเนิดบอนด์ในโลกภาพยนตร์กับสไตล์การแต่งกายที่หล่อเหลาที่ไม่ว่าจะผ่านไปนานกี่ปี ก็ยังคงติดตาแฟนหนังสายลับนี้เป็นอย่างดี ไม่ว่าคุณจะชอบบอนด์ที่รับบทโดยใคร แต่เราเชื่อว่า Sean Connery ก็คงเป็นหนึ่งในชื่อผู้รับบทบอนด์ที่เราต่างก็คุ้นเคยในฐานะ ต้นตำรับเจมส์ บอนด์
ต้นตำรับเจมส์ บอนด์ กับทักซิโด้ที่เขาโปรดปราน
ฉากแรกที่เราเห็นเจมส์ บอนด์ รับบทโดย Sean Connery ใน Dr.No 1962 เขามาในชุด Tuxedo สี Midnight Blue ที่เราเคยนำเสนอถึงความหรูหราอย่างมีระดับของทักซิโด้ในฉบับ 007 คนแรกไปแล้วนั่นเองครับ ซึ่งบทความนี้เราจึงขออธิบายเป็นภาพรวมว่า James Bond ในฉบับคอนเนอรี่นั้นมักจะสวมใส่ทักซิโด้ที่ดูแล้วมีความเป็นธรรมเนียมเดิม ค่อนข้างอนุรักษ์เรื่องของสไตล์ตามยุคสมัยให้มีความกลมกลืนกับบรรยากาศที่เขาไปเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น Circle Club จาก Dr.No ภาคแรกหรือในอีกฉากไอคอนิคของการเฉือนวาทะระหว่างบอนด์และลาร์โก้ตัวร้ายจากภาค Thunderball 1965 ที่คาสิโนใน Nassau ซึ่งเราล้วนแต่จะเห็น Connery ในทักซิโด้ปก Shawl lapel ผ้าวูล-โมแฮร์สีกรมท่าเข้มทั้งสิ้น ซึ่งเข้ากับบรรยากาศของงานสังคมตอนกลางคืนในช่วงยุค 60s ที่เน้นความ Formality ไปในทางชุด Black Tie หรือทักซิโด้เป็นส่วนมาก
Business Suit ที่ดูพอดีไม่เคร่งเครียด แต่สร้างบุคลิกที่น่าชื่นชม เกรงขาม
แน่นอนว่าทั้งในชีวิตจริงและโลกภาพยนตร์ช่วงยุค 50s-60s นั้น การใส่สูทประกอบอิริยาบทต่าง ๆ ทั้งการเดินทาง การเจรจาต่อรอง ทำงาน หรือแม้กระทั่งอยู่ในสำนักงาน สูทดูเป็นเรื่องปกติ และ Sean Connery ก็เป็นหนึ่งในนักแสดงที่สร้างกระแสความนิยมให้แฟนหนังของเขาทั่วโลกนั้นชื่นชมความหล่อของเขาและสูทที่ใส่ในเรื่อง James Bond ของเขาได้อย่างดี โดยคอนเนอรี่มักจะสวมใส่สูทธุรกิจที่เรียกว่า Business Suit แบบเรียบง่ายอย่างสีเทา ตั้งแต่เทาอ่อนในตอนกลางวัน อย่างเช่น ในภาค From Russia With Love 1963 ที่เขาเลือกใส่ Business Suit สีเทาระหว่างทำภารกิจที่กรุงอิสตันบูลตามท้องเรื่อง ซึ่งเป็นเมืองที่มีอากาศร้อน แต่ Connery ก็ทำให้เราเห็นว่าการใส่สูทที่ดีและถูกต้องเหมาะสมนั้น ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมของสถานที่ และบทบาท พร้อมทั้งคิดถึงสภาพแวดล้อมจากเรื่องของอากาศและการใช้งานด้วย ซึ่งสูทที่ Connery ใส่ในทุกภาคเจมส์บอนด์ที่เขาแสดงนั้นก็มักจะเป็นสูทสองกระดุมปกติ ที่มีความแตกต่างกันในดีเทลเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น การผ่าหลังบ้างเป็นครั้งคราว
นอกจากนี้ สูทสี Midnight Blue และสีเทาเข้มก็เป็นตัวเลือกที่ Sean Connery สวมใส่มากเช่นกัน โดยความพิเศษของ Business Suit ในเจมส์ บอนด์คนแรกนี้ มักจะเป็นสูทสไตล์อังกฤษแท้ ๆ ที่แตกต่างจากสูทอังกฤษปัจจุบันพอสมควร ด้วยการเข้าสัดส่วนที่พอดี แต่มักจะมีการตัดเย็บที่เผื่อบริเวณเอวและสะโพกมากกว่าในปัจจุบันที่เรียกว่า Suppressed Waist เพื่อให้บทบาทสายลับอย่างเจมส์ บอนด์ สามารถพกปืนได้สะดวกในสูทนั่นเอง แต่ตัวสูทก็ยังดูเป็นสูทที่มีโครงสร้างและจริงจังในสไตล์บริติชที่มีความเป็นผู้ดีอยู่สูงด้วยเช่นกัน
Sean Connery ต้นตำรับเจมส์ บอนด์ มักจะใส่สูทของเขาที่เรียกว่า Conduit Cut คู่กับกางเกงเอวสูงตามแบบยุคคลาสสิค ไม่มีหูเข็มขัดหรือสายเอี๊ยม แต่ใช้วิธีการปรับให้พอดีกับช่วงเอวจริงของหุ่นนักแสดงด้วย Side-adjuster แทน และมีทรงขาที่เข้ารูป Tapered legs แต่ไม่รัดรูปซึ่งถือเป็นสไตล์ที่โดดเด่นอย่างมากของยุคนั้น ควบคู่ไปกับผ้า Tropical Fabric ที่เขาชื่นชอบเป็นพิเศษอย่าง Wool-Mohair ที่ระบายอากาศได้ดีและอยู่ทรงสวย ยับยากมาก หรือ Wool-Flannel วูลผสมสักหลาดที่ให้ความหรูหราและวินเทจเมื่อเขาไปทำภารกิจยังเมืองหนาว
ต้นตำรับ James Bond กับ Iconic Three-Piece Suit
นอกจาก Tuxedo สีกรมท่าเข้มเกือบดำ ก็คงไม่มีอะไรติดตาผู้ชม James Bond ฉบับ Connery มากไปกว่าสูทสามชิ้นสีเทาอ่อนจากภาค Goldfinger 1964 ซึ่งบอนด์ได้เดินทางถึงยังสหรัฐอเมริกาเพื่อทำภารกิจและอยู่ภายใต้การคุมตัวจาก Auric Goldfinger ศัตรูของเขา บอนด์ได้เดินลงจากเครื่องบินส่วนตัวด้วยสูทสากล 3 ชิ้นสีเทาอ่อนที่ดูผิวเผินแล้วก็เป็นสีเทาอ่อนปกติทั่วไป แต่ถ้าตั้งใจพิจารณาดูอย่างจริงจังแล้ว สูทนั้น คือ ลาย Glen Urquhart Check หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ Prince of Wales Check นั่นเอง ซึ่งตัวลายไม่ได้มีความโดดเด่นมากจนเกินไป นั่นจึงทำให้สูทชุดนี้ดูมีความน่าสนใจเพิ่มมากขึ้นไปอีก และต้องอาศัยการสังเกต จากการที่เป็นผ้า Tropical Weight หรือน้ำหนักปานกลางนั่นจึงทำให้แม้ว่าจะเป็นสูท 3 ชิ้นแต่ยังสามารถสวมใส่ในเวลากลางวันได้โดยไม่ร้อนจนเกินไป
Three-Piece Suit จากภาค Goldfinger นี้ก็นับว่ามีคาแรคเตอร์ที่เพิ่มมาจากสูทชุดอื่นพอสมควร ทั้งการมี Ticket Pocket หรือกระเป๋านามบัตร ตำแหน่งกระดุมสูง แต่ยังคงความเป็นอังกฤษจัด ๆ ไว้ด้วยผ่าหลังแบบสองข้าง และกระเป๋าแบบตัดตรงพร้อมกระดุมแขนเรียงชิดแต่ไม่ซ้อนกันข้างละ 4 เม็ดครับ ซึ่งผู้ที่มารับบทบอนด์ในยุคหลังทั้ง Pierce Brosnan และ Daniel Craig ก็นำเอาแรงบันดาลใจตรงนี้ไปด้วยเช่นกัน
ไอเทมอย่างรองเท้าและนาฬิกา ที่น่าสนใจในฐานะ ต้นตำรับเจมส์ บอนด์
ก่อนที่เราจะไปว่าถึงนาฬิกาที่ Connery เลือกใส่ เราอยากจะแนะนำเล็กน้อยเกี่ยวกับไอเทมที่น่าสนใจอย่างรองเท้า ซึ่งบอนด์ในฉบับ Connery นั้นมีการใส่รองเท้าแบบ Lace up ผูกเชือกมากพอกับรองเท้าแบบ Ankle boots ที่ยุคนั้นนิยมมากเช่นกัน โดยรองเท้าแบบผูกเชือกที่บอนด์สวมใส่ มักจะเป็นรองเท้าสไตล์ Derby แบบ 2-3 รูร้อยเชือก หัวมนและเสริมส้นกว่าปกติเล็กน้อย ที่แตกต่างบางจุดจาก Oxford Shoes ซึ่งเขามักจะเลือกใส่แบรนด์ของ John Lobb สัญชาติอังกฤษ รวมไปถึงรองเท้าแบบ Ankle Boots หรือรองเท้า boots ข้อสั้นที่นิยมมากในช่วงนั้น ด้วยการสวมใส่ที่สะดวก แต่กระชับกับการเดินได้อย่างดีซึ่งเหมาะกับงานสายลับมากกว่า Loafers ที่มีโอกาสหลุดได้เมื่อต้องวิ่งไล่ล่า
ในส่วนของนาฬิกา เรามักจะคุ้นชินกับบอนด์ในเวอร์ชั่นที่รับบทโดย Daniel Craig ซึ่งเขาเลือกสวมใส่นาฬิกา Omega แต่ถ้าให้พูดถึงต้นฉบับจริง ๆ ของบอนด์ในจอเงินแล้ว Bond ฉบับ Connery นั้นเขาเลือกสวมใส่นาฬิกา Rolex Submariner ref.6538 ที่มีฉายาว่า Big Crown ซึ่งเรือนที่เขาใส่แสดงในภาพยนตร์ทั้งสามภาคแรกอย่าง Dr.No, From Russia With Love, Goldfinger นั้นก็กลายเป็นคอลเลคชั่นส่วนตัวของ Connery ในที่สุด ก่อนที่นักแสดงคนอื่นที่มารับบท James Bond สายลับ 007 จะมีสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเองที่แตกต่างกันนำเสนอผ่านภาพยนตร์ที่มีอายุรวมมากกว่า 60 ปีจนถึงปัจจุบัน
แม้ว่านักแสดงชื่อดังที่รับบทสายลับ 007 อย่าง Sir Thomas Sean Connery จะลาโลกไปตั้งแต่ปลายปี 2020 ด้วยโรคชราในวัย 90 ปีแล้ว แต่ MenDetails เชื่อว่า สไตล์ที่แจ้งเกิดให้กับเขาและบทบาทของภาพยนตร์ที่เขาสร้างตำนานไว้ตั้งแต่ภาคแรกที่ส่งให้ดังเปรี้ยงปร้าง อย่าง James Bond นั้นเป็นอมตะ และแม้ว่าใครหลายคนอาจจะไม่ทันในช่วงชีวิตที่เขารับบทนี้ แต่ถ้าพูดถึงเจมส์ บอนด์แล้ว Sean Connery เป็นชื่อที่อยู่ในใจหลายคนเสมอทั้งบทบาทการแสดงและสไตล์ผ่านจอเงินสุดแสนอมตะ