เสื้อสูท, เบลเซอร์ หรือ สปอร์ตแจ็กเก็ตในสไตล์กระดุมสองแถว หรือ Double Breasted Jacket คือเสื้อสูทที่มีเอกลักษณ์น่าสนใจและสามารถพลิกแพลงสไตล์การเรียงแถวกระดุมได้มากกว่าเสื้อแบบ Single Breasted Jacket ส่งผลให้เสื้อประเภท Double Breasted นั้น มีจำนวนกระดุมและสไตล์การกลัดกระดุมสูทที่หลากหลายจนอาจทำให้ผู้ชายรู้สึกมึนงงเอาง่าย ๆ วันนี้ MenDetails จึงขอแนะนำวิธีการนับ จำนวนกระดุมสูท ของ Double Breasted Jacket พร้อมทั้งสไตล์การเลือกใส่และเลือกกลัดกระดุมแบบครบถ้วนจุใจในบทความเดียวกันไปเลยครับ
ทำความเข้าใจ วิธีนับ จำนวนกระดุมสูท Double Breasted
จำนวนกระดุมบนเสื้อแบบ Double Breasted Jacket จะมีวิธีการนับด้วยตัวเลขสองตัว แล้วใช้เครื่องหมาย “x” คั่นตรงกลาง เช่น 2×1, 4×2, 6×2, 6×3 หรือ 8×4 เป็นต้น
ตัวเลขตัวแรก บอกถึง “จำนวนกระดุม” ที่ปรากฎอยู่ “ด้านนอก” ของตัวเสื้อแจ็กเก็ต ซึ่งจะสังเกตเห็นว่าตัวเลขตัวนี้จะเป็นเลขคู่เสมอ เนื่องจากเป็นเสื้อแบบ Double Breasted หรือกระดุมสองแถว ยกตัวอย่างเช่น หากตัวเลขแรกเป็นเลข 6 แปลว่าเมื่อเราสวมใส่เสื้อตัวนี้แล้ว จะมีจำนวนกระดุมที่โชว์ออกด้านนอกตัวเสื้อให้คนอื่นเห็นได้อยู่ทั้งหมด 6 เม็ด โดยจะแบ่งเป็นฝั่งขวา 3 เม็ด และฝั่งซ้ายอีก 3 เม็ดเท่า ๆ กัน
ตัวเลขตัวที่สอง ค่อนข้างซับซ้อน และอาจจะต้องอธิบายยาวสักหน่อย โดย ตัวเลขที่สองนี้บอกถึง “จำนวนรังดุม” ที่อยู่ทางฝั่งซ้ายของเสื้อแจ็กเก็ตเวลาที่เราสวมใส่ ซึ่งอาจจะเป็นเลขคี่หรือเลขคู่ก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น “6×2” แปลว่ากระดุมที่โชว์ออกด้านนอกมีทั้งหมด 6 เม็ด และเมื่อเราสวมเสื้อตัวนี้แล้วมองไปทางฝั่งซ้ายของเสื้อ เราจะเห็นว่ามี “รังดุม” ที่เราสามารถนำไปกลัดกับกระดุมทางฝั่งขวาได้อยู่จำนวน 2 รังดุมนั่นเอง
เมื่อเรารู้เช่นนี้ก็จะพอนึกภาพตามออกได้ไม่ยาก อย่างในกรณี ตัวเลข “4×1” แปลว่ามี “กระดุม” อยู่ด้านหน้าตัวเสื้อทั้งหมด 4 เม็ด และมี “รังดุม” ที่อยู่ทางฝั่งซ้ายของตัวเสื้ออยู่ 1 รังดุม
และถ้าตัวเลขเป็น “8×4” แปลว่ามี “กระดุม” อยู่ด้านหน้าตัวเสื้อให้คนอื่นเห็นทั้งหมด 8 เม็ด และมี “รังดุม” ที่อยู่ทางฝั่งซ้ายของตัวเสื้ออยู่ 4 รังดุม
ข้อควรจำอีกข้อหนึ่งสำหรับตัวเลขที่สองนี้ก็คือ จำนวนรังดุมทางฝั่งซ้ายจะนับจาก “ล่างขึ้นบน” เสมอ ตัวอย่างเช่น ตัวเลข “6×1” แปลว่ามี “รังดุม” ที่อยู่ทางฝั่งซ้ายของตัวเสื้ออยู่ 1 รังดุม โดยเป็นที่รู้กันว่ารังดุมที่มีอยู่รังเดียวนั้น จะอยู่ตรงกับตำแหน่งกระดุมเม็ดล่างสุดของเสื้อสูทเสมอ
หากเป็น “6×2” แปลว่ามี “รังดุม” ที่อยู่ทางฝั่งซ้ายของตัวเสื้อ จำนวน 2 รังดุม โดยจะเริ่มจากตำแหน่งที่ตรงกับกระดุมเม็ดล่างสุด นับเป็นรังดุมที่ 1 และขยับขึ้นบนนับเป็นรังดุมที่ 2
หากเป็น “6×3” แปลว่ามี “รังดุม” ที่อยู่ทางฝั่งซ้ายของตัวเสื้อ จำนวน 3 รังดุม โดยจะเริ่มจากตำแหน่งที่ตรงกับกระดุมเม็ดล่างสุด นับ 1 พอขยับขึ้นบน นับ 2 และขยับขึ้นอีกแถวนับเป็น 3
และ ข้อควรจำข้อสุดท้ายสำหรับตัวเลขที่สองนี้ก็คือ รังดุมที่ทางฝั่งซ้ายทุกรัง จะต้อง “มีคู่” หมายถึงต้องมี “กระดุม” ของตัวเสื้อทางฝั่งขวาอยู่ในตำแหน่งให้เราสามารถไขว้รังดุมไปกลัดได้ครบถ้วนเสมอ แต่เราจะกลัดหรือไม่ ? และจะกลัดอย่างไร ? เดี๋ยว MenDetails อธิบายให้ทราบอีกทีนะครับ
แล้วจะเลือก เสื้อ Double Breasted Jacket กี่กระดุมดี?
พอเห็นรายละเอียดขนาดนี้อาจทำให้หลายคนมึนงง และอาจนึกบ่นในใจว่า “อะไรจะเรื่องเยอะปานนั้น?” แต่ไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอกครับ เพราะโดยปกติแล้ว เสื้อ Double Breasted Jacket ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือเสื้อที่มีจำนวนกระดุมแบบ 6×2 เพราะฉะนั้นหากว่านึกอะไรไม่ออก การเลือกกระดุมแบบ 6×2 คือหนทางที่ปลอดภัยที่สุด ร่วมสมัยที่สุด และใช้งานง่ายที่สุดแล้วล่ะครับ
อย่างไรก็ดี หากใครที่อยากจะใส่ เสื้อ Double Breasted Jacket ให้แตกต่างออกไปจากคนส่วนใหญ่ อาจจะลองเป็น 4×1 หรือ 6×1 เพื่อที่จะกลัดกระดุมเม็ดล่างแค่เม็ดเดียว ซึ่งเป็นสิ่งที่หนุ่มอิตาเลี่ยนสไตล์ Sprezzatura ชอบใช้กันในงานปล่อยของอย่าง Pitti Uomo
ส่วนผู้ชายรูปร่างเล็กที่อย่างลองสวมใส่เสื้อ Double Breasted Jacket แต่เกรงว่าตัวเองจะดูเตี้ยและตัน MenDetails มีวิธีแก้คือให้เลือก เสื้อ Double Breasted Jacket ที่มีกระดุมน้อย ๆ แบบ 2×1 หรือ 4×1 หรือ 4×2 เป็นหลัก ด้วยจำนวนกระดุมที่น้อยลง ทำให้การวางตำแหน่งกระดุมทำได้ง่ายขึ้น อีกทั้งตัวเสื้อจะดูโล่งขึ้น ไม่มีกระดุมที่ลอยด้านบนซึ่งจะนำสายตาให้เราดูเตี้ยลง เท่านี้เราก็สวมใส่ได้อย่างมั่นใจมากขึ้นได้แล้วครับ
สุดท้าย เสื้อ Double Breasted Jacket ที่มีจำนวนกระดุมเยอะ และมีรังดุมเยอะตามด้วยอย่าง 6×3 หรือ 8×4 จะให้ความรู้สึกของเครื่องแบบทหารในราชนาวีมากกว่าการจะเป็นเสื้อแจ็คเก็ตที่ใส่ในชีวิตประจำวันหรือการออกงานสังสรรค์ ซึ่งถึงแม้ต้นกำเนิดของเสื้อชนิดนี้จะมาจากกองทัพทหารจริง ๆ ก็ตาม แต่หากไม่มั่นใจกับสไตล์ดังกล่าวจริง ๆ MenDetails ก็ไม่แนะนำให้ใช้งานเท่าไหร่นัก เพราะมันจะดู “เยอะ” เกินไปนิดครับ
จะกลัดกระดุมหรือไม่กลัดกระดุมเม็ดไหนดี?
ข้อดีอย่างหนึ่งของ เสื้อสูท, เบลเซอร์ หรือ สปอร์ตแจ็กเก็ต แบบกระดุมสองแถว หรือ Double Breasted Jacket นั่นก็คือความยืดหยุ่นในการเลือกกลัดกระดุมเสื้อได้หลากหลายรูปแบบ ไม่เหมือนเสื้อแบบ Single Breasted ที่มักจะมีกฎเกณฑ์ตายตัวมากกว่า
แบบแรกสุดคือการเลือกที่จะไม่กลัดกระดุมเลย เพื่อสไตล์ที่ดูลำลองมากขึ้น แต่พึงระวังว่า เสื้อแบบ Double Breasted Jacket จะมีเนื้อผ้าที่เพิ่มขึ้นมาพอสมควร การไม่กลัดกระดุมใด ๆ เลย อาจทำให้เราดูแล้วตัวใหญ่และหนามากกว่าความเป็นจริงได้นะครับ
ต่อเมื่อใดที่เราตัดสินใจที่จะกลัดกระดุม Double Breasted Jacket มันจะมีกระดุม 1 เม็ดสำคัญที่ทุกคนควรกลัดก่อนเป็นเม็ดแรกนั่นคือ “กระดุมสมอ” หรือ Anchor Button ซึ่งจะอยู่ด้านในของตัวเสื้อทางฝั่งซ้าย โดยเราจะเอารังดุมบนตัวเสื้อทางฝั่งขวาสอดเข้าไปด้านใต้แล้วกลัดกระดุมเม็ดนี้ให้เรียบร้อยก่อนทุกครั้ง
เมื่อกลัด Anchor Button แล้ว เราสามารถเลือกกลัดกระดุมแบบถัดไป นั่นคือกลัดให้ครบทุกเม็ดไปเลย ซึ่งเป็นสไตล์คลาสสิคที่นิยมใช้กันมาเนิ่นนาน หรือใช้ในงานที่เป็นทางการสูง การที่เสื้อแบบ Double Breasted Jacket สามารถกลัดกระดุมทุกเม็ดแบบนี้ได้นั่นเพราะกระดุมเม็ดสุดท้ายจะไม่ทำให้เกิดรอยยับย่นเป็นตัว X ขึ้น และไม่ทำให้ลำตัวดูตันแบบ Single Breasted นั่นเอง
แบบที่สามที่เป็นที่นิยมมากขึ้นในยุคปัจจุบันคือการกลัดกระดุมกับรังดุมให้ครบทุกแถว ยกเว้นเพียงแค่แถวล่างสุดเท่านั้นที่ไม่ต้องกลัด แบบนี้ก็ไม่ถือว่าผิดกติกาแต่อย่างใด
ส่วนรูปแบบสุดท้ายคือการกลัดกระดุมแบบพลิกแพลงด้วยการใส่ลูกเล่นลงไปอย่างที่ใจชอบตามแต่ระบบกระดุมจะเปิดโอกาสให้เราได้ เช่น เราใส่เสื้อสูทที่มีกระดุมแบบ 4×2, 6×2 หรือ 8×2 แต่เรากลัดกระดุมเฉพาะแถวล่างสุดโดยไม่กลัดแถวบน หรือ ใส่เสื้อสูทที่มีกระดุมแบบ 6×3 แล้วกลัดเฉพาะกระดุมแถวกลาง ปล่อยรังดุมแถวบนกับล่างเอาไว้ว่าง ๆ ไม่ต้องกลัด อย่างนี้ก็ได้เช่นเดียวกัน ขอเพียงแค่มั่นใจและไม่สลับไปมาจนดูหลุดโลกเกินไปก็พอครับ
ยอมรับตามตรง MenDetails ก็แทบไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน ว่าเรื่องของการนับ จำนวนกระดุมสูท และการเลือกสวมใส่ ตลอดจนวิธีการกลัดกระดุมบนเสื้อแบบ Double Breasted Jacket นั้น มันจะยืดยาวและมีรายละเอียดซับซ้อนมากมายถึงขนาดนี้ แต่เรื่องราวเหล่านี้นี่แหละคือเสน่ห์ของเครื่องแต่งกายสไตล์ Classic Menswear ที่เราเชื่อว่าผู้ชายทุกคนควรความรู้ติดตัวเอาไว้บ้าง เพื่อในยามที่จำเป็นต้องใช้ เราก็จะสามารถแต่งกายในสไตล์ดังกล่าวได้อย่างมั่นใจ ตามแบบผู้ชายที่มีคุณภาพพึงกระทำนะครับ