ในทัศนะของ MenDetails นั้น “ดนตรี” คือศิลปะที่ไม่มีวันตาย แนวดนตรีอาจเปลี่ยนผันตามยุคสมัย แต่อย่างไรก็ตามดนตรีคือของขวัญจากพระเจ้าที่จะสร้างความสุขให้มวลมนุษย์ไปอีกนานเท่านาน และหากคุณเป็นสาวกของดนตรีร็อค (Rock) เราเชื่อว่าคุณต้องรู้จักนักดนตรีและวงดนตรีระดับโลก อย่าง Led Zeppelin, Jimi Hendrix, Queens และอีกมากมาย วันนี้ MenDetails.com จะพาทุกคนไปย้อนดูจุดเริ่มต้นการพลิกโฉมเสียงดนตรีร็อคของ “Marshall” แบรนด์ amplifier มาตรฐานคอนเสิร์ตที่นักดนตรีระดับโลกเหล่านั้นเชื่อมั่น สู่ถนนธุรกิจสายใหม่ในการปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยด้วยลำโพงที่คุณภาพใหญ่เกินขนาดตัวไปมากอย่าง “Marshall Emberton” ครับ
จุดร่วมของนักดนตรีในตำนานที่โด่งดังระดับโลก
สมาชิกวงร็อคพันธุ์แท้จากอังกฤษ Led Zeppelin
วงการ ดนตรีและแฟชั่น เครื่องแต่งกาย เป็นสองสิ่งที่มีคาแรคเตอร์และจุดเด่นในแต่ละยุคสมัยอย่างชัดเจน และในบางยุคก็หลอมรวมไปในทิศทางเดียวกัน หากพูดถึงยุคทองของดนตรีช่วง 60s หลายคนคงนึกถึง The Beatles ขึ้นมาเป็นชื่อแรก วงดนตรีจากอังกฤษที่บุกตลาดเพลงของอเมริกา (British Invasion) ได้สำเร็จ และในช่วงปลายของยุค 60 อีกหนึ่งวงร็อคที่รับความนิยมสูง คือ Led Zeppelin เป็นวงร็อคพันธุ์แท้ เน้นโชว์ฝีมือของสมาชิกทุกคนที่ถือเป็น “นักดนตรีระดับเทพ” ถัดจากนั้นก็เป็นยุคสมัยของวง Queens กับความวิเศษอัศจรรย์ของ Freddie Mercury ในตำแหน่งนักร้องนำ
Jimi Hendrix และลีลาการเล่นกีตาร์ไฟฟ้า
Eric Clapton ขณะอยู่บนเวทีแสดง
ว่ากันว่าสุดยอดมือกีตาร์ผู้ยิ่งใหญ่ในโลกดนตรีล้วนอยู่ในช่วงยุค 60s – 70s นี่แหละครับ ทั้ง Jimi Hendrix (จิมี เฮนดริกซ์) หนึ่งในมือกีตาร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ดนตรีร็อค เฮนดริกซ์นำแนว Blues มาผสมกับร็อคได้อย่างลงตัว เสียงจากกีตาร์ไฟฟ้าและการเล่นกีตาร์ฝั่งซ้ายอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขา, Eric Clapton (เอริค แคล็ปตัน) เจ้าของฉายา Slowhand และ Jeff Beck (เจฟฟ์ เบ็ค) เจ้าของลีลาโซโล่กีตาร์ที่ใคร ๆ ก็บอกว่าเขาทำให้กีตาร์ “พูดได้”
สไตล์แนวดนตรี พรสวรรค์รวมถึงพรแสวง การมีอารมณ์ร่วมขณะทำการแสดงของแต่ละคนได้เป็นตัวพิสูจน์ความสามารถให้พวกเขากลายเป็นตำนาน
การที่แฟนเพลงจะอินและได้ดื่มด่ำกับเสียงดนตรีได้อย่างลึกซึ้งนั้น ต้องมีเครื่องเสียงที่ดีเป็นตัวช่วย การแสดงจึงจะออกมาสมบูรณ์แบบ จุดร่วมที่น่าสนใจอ คือ นักดนตรีในตำนานอย่างมือกีตาร์ที่เรากล่าวถึงนั้น ล้วนเลือกใช้เครื่องขยายเสียง (amplifier) ของ Marshall (มาร์แชลล์) ทั้งสิ้น
เจฟฟ์ เบค กล่าวว่าเครื่องเสียงจาก Marshall เหมือนพี่ใหญ่ในวงการ เพราะเสียงคำรามของมันไม่มีแอมป์เจ้าอื่นทำได้ ซึ่งนั่นถือเป็นความแปลกใหม่ในยุคนั้นครับ
เดิมทีแอมป์กีตาร์ที่วงดนตรีใช้ ณ ขณะนั้น จะมีโทนเสียงออกมาแบบเสียงใส สะอาด (Clean) และความดังไม่ดังมากจนเกินไปนัก แต่เมื่อแอมป์ตัวแรกจาก Marshall ถูกผลิตออกมา Marshall JTM 45 มีโทนเสียงที่แตกต่างออกมาในสไตล์เสียงแตก (Distortion) มีความหนาและหนัก ระดับเสียงที่ดังขึ้นมาก กลายเป็นเอกลักษณ์ของแอมป์ Marshall จนได้รับความนิยมไปทั่วโลกวงดนตรีร็อค ไม่ว่าจะจากการได้ยินชื่อเสียงแบบปากต่อปากหรือเห็นศิลปินที่มีชื่อเสียงใช้จนต้องไปหาซื้อก็ตาม
Jim Marshall ผู้ก่อตั้งแบรนด์ กับฉายาว่า Father of Loud
ชื่อแบรนด์ Marshall มาจากนามสกุลของ Jim Marshall (จิม มาร์แชลล์) ผู้ให้กำเนิดเครื่องขยายเสียงระดับตำนาน เจ้าของแบรนด์เครื่องเสียง Marshall นั่นเองครับ เขาค้นพบว่าตนเองหลงใหลไปกับโลกของดนตรี ในขณะที่เรียน Tap Dancing สมัยเด็ก
มาร์แชลล์เป็นปรมาจารย์ด้านการตีกลองระดับโปรในช่วงยุค 50s เขาสอนนักเรียนราว 65 คนต่อสัปดาห์ และในจำนวนนักเรียนเหล่านั้นมี Mitch Michell (มิตช์ มิเชลล์) มือกลองร่วมวงกับจิมี่ เฮนดริกซ์, Micky Waller (มิคกี้ วอลเตอร์) มือกลองที่เป็นสมาชิกของวงร็อคสัญชาติอังกฤษที่มีชื่อหลายวง
Ritchie Blackmore สุดยอดมือกีตาร์ระดับเทพ สมาชิกวง Deep Purple ที่ต้องการแอมป์ Marshall ไว้ในครอบครองเพราะได้ยินชื่อจาก Mick Underwood มาโดยตลอด
รวมถึง Mick Underwood (มิก อันเดอร์วูด) มือกลองของวง Deep Purple นั่นจึงเป็นที่มาว่าทำไมนักดนตรีระดับโลกหลายคนได้มีโอกาสเริ่มต้นใช้เครื่องเสียงชุดแรก ๆ ที่เป็นผลงานของมาร์แชลล์นั่นเอง
Amplifier รุ่นแรกจากมาร์แชลล์ JTM 45 (Jim and Terry Marshall) วางขายในปี 1962 เป็นผลงานร่วมกับลูกชายของเขาและ Ken Bran (เคน แบรน) นักดนตรีที่มีความรู้ด้านวิศวกรรมไฟฟ้า มาร์แชลล์ดูแลในเรื่องกลไกของตัวเครื่องขยายเสียง ในขณะที่เทอร์รี่และแบรน จะดูแลเรื่องการแนะนำการประกอบและติดตั้งเครื่องให้กับลูกค้า แม้ว่าพ่อลูกคู่นี้จะไม่ใช่นักกีตาร์ แต่เขาก็ได้สร้างสรรค์เสียงที่มีเอกลักษณ์ในแบบมาร์แชลล์ขึ้นมา
The Who วงร็อคที่โดดเด่นในเรื่องการเล่นแบบดุดัน
ยอดขายของแอมป์รุ่นแรกนั้นถล่มทลายจนทำให้มาร์แชลล์สามารถเปิดร้านสาขาที่ 2 ได้ภายในปีถัดไป และเปิดโรงงานของตัวเองได้ในปี 1964 เรียกว่าระดับความต้องการของแอมป์จาก Marshall พุ่งทะยาน จะเรียกว่า Marshall กลายเป็น มาตรฐานของเสียงวงดนตรีร็อค ก็คงไม่เกินไปนัก
Jimi Hendrix กับการเล่นกีตาร์มือซ้ายโดยไม่กลับสายกีตาร์
และอีกคนหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือ มือกีตาร์ที่เป็นเหมือน Brand Ambassador ของ Marshall อย่าง “จิมี่ เฮนดริกซ์” เมื่อเขาใช้งานแอมป์ของ Marshall ในการแสดงคอนเสิร์ตหลาย ๆ แห่งตั้งแต่ช่วงปี 1966 เป็นต้นมา ไม่ว่าจะเป็นการแสดงที่ฝรั่งเศส อังกฤษ สวีเดน หรืออเมริกา ทุกคนก็จะได้เห็นภาพของเขาโดยมีแอมป์ของ Marshall อยู่เบื้องหลัง
ภาพที่ถ่ายทอดออกไป ได้ทำให้ ชื่อของ “มาร์แชลล์” กลายเป็นความโด่งดังระดับสากล Jimi Hendrix ร่ายมนต์กีตาร์ “มือซ้าย” ผ่านแอมป์มาร์แชลล์นำพาผู้ฟังให้ตกอยู่ในภวังค์ของ Rock อันหนักหน่วง เขาได้รับยกย่องให้เป็นหนึ่งในมือกีตาร์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา จนกลายเป็นแรงบันดาลใจของนักกีตาร์รุ่นหลังอีกจำนวนมากที่อยากทำให้ได้แม้แค่สักเสี้ยวหนึ่งของเขาก็พอใจแล้วด้วยซ้ำไป นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่การันตีว่า Marshall ที่ Jimi Hendrix เลือกใช้ คือคุณภาพเสียงอันยอดเยี่ยมที่นักฟังเพลงทุกคนวางใจได้แน่นอน
ฉายา Father of Loud (บิดาแห่งความดัง) นั้นเป็นการตั้งชื่อเพื่อให้เกียรติกับ Jim Marshall ในฐานะผู้สร้างเครื่องขยายเสียงที่เปลี่ยนแปลงมาตรฐานเสียงดนตรีร็อคไปตลอดกาล เสียงที่เกิดจากแอมป์ของมาร์แชลล์จะดัง หนัก และเข้าถึงจิตวิญญาณ
Marshall จากผู้ผลิตแอมป์เพื่อนักดนตรี
สู่ผู้ผลิตเครื่องเสียงให้กับผู้เสพดนตรี
หลังความสำเร็จในยุค 60s Marshall ก็พัฒนาเครื่องขยายเสียง Amplifier เรื่อยมา ทั้งในแง่กำลังเสียง ขนาดแอมป์ หรือสร้างสรรค์เฉพาะเพื่อเจาะกลุ่มดนตรีบางประเภท จนเมื่อปี 2010 ก็ได้มีการแตกไลน์เข้าสู่กลุ่มตลาดหูฟัง เปิดตัวเฮดโฟนรุ่น Major และ Minor ที่เป็นหูฟังแบบ over-ear ครอบหูออกมา ถือเป็นการขยายฐานแฟนของแบรนด์ไปในวงกว้างมากขึ้น คนที่ไม่ใช่นักดนตรีก็จะได้หันมาลองใช้เครื่องเสียงของทาง Marshall เป็นครั้งแรก หลังจากนั้นก็มีการผลิตทั้งหูฟังแบบ in-ear, on-ear ออกมาทีละสเต็ป
นอกจากซื้อเอกลักษณ์ของเสียงที่ไร้ที่ติแล้วยังเหมือนซื้อรสนิยมดี ๆ เอาไว้ในมืออีกต่างหาก
ด้วยความรู้สึกของใครหลายคนที่มีต่อ Marshall นั้นคงเป็นความคลาสสิกและความเจ๋ง เมื่อเขาออกผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับเรื่องเสียงก็คงทำให้ทุกคนเชื่อใจและอยากได้ไว้ในครอบครองอย่างไม่ยากเย็นนัก
ความสุดยอดยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น เมื่อ Marshall ก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลเต็มตัวก็ได้ปล่อยไลน์ ลำโพงไร้สาย (Bluetooth Speaker) ตัวแรกออกมา ได้แก่ รุ่น Stanmore ซึ่งลำโพงนั้นได้รับความนิยมอย่างสูงครับ เรียกว่าแจ้งเกิดให้คนทั้งโลกรู้ทีเดียวว่า Marshall มีลำโพงแล้ว
ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในยุคดิจิตอล
ลำโพงบลูทูธไร้สาย Marshall Emberton ขนาดเล็กที่สุด
สำหรับลำโพงน้องใหม่ขนาดจิ๋วแต่ความสามารถไม่จิ๋ว Marshall Emberton ที่เพิ่งปล่อยออกมาก็ขายดีจนกลายเป็นของหายากภายในเวลาสั้น ๆ ถือว่าเป็นลำโพงขนาดพกพา (Portable Speaker) ที่เล็กที่สุดจากแบรนด์เลยทีเดียวครับ น้ำหนักไม่ถึง 1 กิโลกรัม ถือได้สบาย ๆ มากับบลูทูธ 5.0 เชื่อมต่อได้ในระยะที่ไกล ไม่ต้องตั้งลำโพงไว้ติดกับสมาร์ทโฟนหรือแท็บเลตก็ยังเชื่อมต่อกันไว้ได้
จุดเด่นยังคงเป็นเรื่องความคลาสสิกของดีไซน์ลำโพง มี iconic ของแบรนด์ชัดเจนอย่างตะแกรงเหล็กด้านหน้าและหลัง โลโก้แบรนด์สีขาว ด้านนอกเป็นยางสีดำที่ไม่ลื่น เป็นสัมผัสที่สามารถวางไว้ลำโพงไว้ได้แบบไม่ต้องกังวลว่าจะลื่นหลุดหรือเกาะพื้นไม่อยู่ ในเรื่องแบตเตอรี่ สามารถใช้ได้ต่อเนื่องถึง 20 ชั่วโมงครับ ใช้เวลาชาร์จจนเต็ม 3 ชั่วโมง แต่ถ้าหากมีเวลาน้อยจริง ๆ แนะนำให้ใช้ Fast Charge เพื่อชาร์จเพียง 20 นาที ใช้งานต่อได้ 5 ชั่วโมง
และสำหรับปัญหาเวลาไปเที่ยว Hang out กับเพื่อนแล้วเจอฝนตก หรือมีเกิดอุบัติเหตุอย่างการทำน้ำหกใส่ก็ไม่ต้องกังวลเพราะ Marshall Emberton มีระบบกันฝุ่น-กันน้ำ IPX7 ครับ เป็น water resistant หากแช่น้ำลึกไม่เกิน 1 เมตรในเวลาชั่วคราวตัวลำโพงก็จะปลอดภัยครับ
ส่วนที่เจ๋งที่สุด คงหนีไม่พ้นเรื่องของเสียง Marshall Emberton มากับระบบเสียงสเตอริโอที่เสียงดังรอบ 360 องศา จะนั่งฟังจากฝั่งไหนของลำโพงก็จะได้ยินเสียงเท่า ๆ กัน ใช้แอมป์ 10 วัตต์ เบสชัดตามเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Marshall Mid โปร่งและมาเต็ม รายละเอียดเสียงครบถ้วน เสียงเครื่องดนตรีไม่ได้ทับกัน เสียงไม่แตกพร่าบาดหู
ยังมี filter (กรอง) คลื่นเสียงที่แหลมหรือสูงเกินไปออกเพื่อให้เสียงที่ออกมาได้คุณภาพที่ยอดเยี่ยมที่สุด
ในส่วนเสียงกีตาร์จะออกมาเป็นสไตล์ Distortion ตามแบบฉบับสายร็อคและ Heavy Metal เลยครับ แต่จริง ๆ แล้วไม่ว่าจะชอบฟังดนตรีแนวไหน เพลงสากล R&B, POP หรือ Acoustic ก็สามารถเปิดฟังได้ทั้งนั้นเนื่องจากรายละเอียดเสียงที่มาครบและเสียงกว้าง ฟังสบายหูครับ
ในแง่ดีไซน์ที่คงความคลาสสิกและเต็มไปด้วยความสะดวกในการใช้งานของรุ่น Emberton ทั้งเรื่องกันน้ำ จำนวนชั่วโมงในการใช้งาน น้ำหนักที่เบา ปุ่มเปิดสั่งงานแบบ multi-function และเสียงที่ออกมาถือว่าทำได้ดีมาก ๆ ครับ
แม้จะเป็นน้องเล็กสุดตั้งแต่ผลิตลำโพงมา แต่เสียงจาก Marshall Emberton ก็ยังใหญ่กังวานเกินขนาดตัวไปมากทีเดียว จึงไม่แปลกที่ตอนนี้ (กันยายน 2563) Marshall Emberton กลายเป็น “ของหายาก” เสียแล้วในเมืองไทย MenDetails แนะนำว่าใครที่อยากได้ควรรีบติดต่อไปยังผู้แทนจำหน่าย เพื่อสอบถามและจองสินค้าล่วงหน้า ถือเป็นปรากฎการณ์ที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักกับสินค้าประเภท “ลำโพง” น่าติดตามครับว่าต่อไป Marshall จะสร้างมาตรฐานของเสียงแบบไหนขึ้นมาอีก แต่ MenDetails เชื่อเหลือเกินว่า “ขึ้นชื่อว่า Marshall และถ้า Jimi Hendrix บอกว่า “ดี!” เราอย่าไปเถียงให้เสียเวลาครับ”