Suit Shops Series by ‘Huddersfield Textile’ | บทความซีรี่ส์ในการแนะนำร้านสูทสำหรับผู้ชายไทยที่นำเสนอโดยแบรนด์ผ้าสำหรับตัดเย็บสูทชื่อดังสั่งตรงจากเมืองฮัดเดอร์สฟิลด์ ประเทศอังกฤษ ‘Huddersfield Textiles’ พบกับร้านสูทที่ทาง Huddersfield รวบรวมมาให้เราได้รู้จักกันได้แก่
‘612 Twelve’ กับ Classic Menswear ที่เป็นตัวเอง
‘Forchong’ ตำนาน Inhouse Tailor ที่หายากในร้านสูทของเมืองไทย
‘RAMS’ เพราะสูทที่ดี ควรตัดกับคนที่เรา “ไว้ใจ”
‘Sprezzatura Eleganza’ เพราะคำว่า ‘Suit’ คือความเหมาะสมของผู้ชาย
‘The Somchai’ ความสง่างามของสูท Bespoke ที่ตัดขึ้นเพื่อคุณคนเดียว
‘VVON SUGUNNASIL’ เข้าถึงและเข้าใจ ในสิ่งที่ผู้ชายไทยต้องการ
และ บทสัมภาษณ์พิเศษของ Jai Sachdev จาก Huddersfield Textiles ปิดท้าย Series นี้ครับ
ผู้ชายที่ทำธุรกิจและต้องการที่จะประสบความสำเร็จนั้นแทบทุกคนย่อมมีสิ่งที่เรียกว่า “แรงบันดาลใจในการทำธุรกิจของตัวเอง” บางคนอาจต้องการทำธุรกิจเพื่อหวังเงินและผลกำไรเป็นหลัก, ส่วนบางคนใช้ Passion และความหลงใหลส่วนตัวในการผลักดันธุรกิจให้เดินต่อ แต่สำหรับชายหนุ่มคนนี้แล้วนั้น แรงบันดาลใจในการทำธุรกิจของเขาคือความรักในการผจญภัยและการออกเดินทางท่องเที่ยวไปทุกมุมโลก
Young Blood มากประสบการณ์ในโลก Sartorial World ผู้ชายชาวไทยเจ้าของมิลล์ทอผ้าในอังกฤษ และจำหน่ายผ้าให้แก่ร้านสูทชั้นนำทั่วโลก ตั้งแต่เวียดนามจรดนิวยอร์ก
วันนี้ MenDetails ได้มีโอกาสนั่งพูดคุยกับ “เจ” (Jai Sachdev) ชายหนุ่มนักธุรกิจ “ผ้า” ชาวไทยเชื้อสายอินเดียที่มีแรงบันดาลใจและแนวคิดในการทำธุรกิจที่น่าสนใจ อีกทั้งยังร่ำรวยด้วยรอยยิ้มและความเฮฮาเป็นกันเอง จนทำให้เราเกือบลืมไปว่า นี่คือคนไทยหนึ่งในเพียงไม่กี่คนที่ร่วมเป็นเจ้าของโรงทอผ้าที่มีชื่อเสียงระดับโลกในอังกฤษ อีกทั้งยังกว้างขวางในแวดวง Sartorial Style และ Classic Menswear ระดับนานาชาติ MenDetails เชื่อว่าเมื่ออ่านบทสัมภาษณ์นี้จบลง คุณจะรู้สึกชื่นชมและได้ข้อคิดดีๆ จากผู้ชายที่ชื่อ Jai Sachdev คนนี้อย่างแน่นอน
“ผมเป็นรุ่นที่ 4 ของครอบครัวที่ขายผ้าให้กับร้านตัดสูททั่วประเทศครับ” คุณเจบอกกับเราด้วยความภาคภูมิใจในสิ่งที่เขาและครอบครัวร่วมกันสร้างขึ้นมา “แต่ไหนแต่ไรผ้าที่พวกเราขายมักเป็นผ้าที่เน้นราคาถูกเป็นหลัก เพราะเรื่องของราคาคือสิ่งสำคัญมาตลอด ไม่ค่อยมีใครอยากซื้อผ้าคุณภาพดีแต่ราคาสูงๆ เท่าไหร่นัก” เจเล่าให้เราฟังถึงวิธีการขายผ้าแบบดั้งเดิมที่เขาจะแบกกระเป๋าเดินทางใบหนึ่งที่บรรจุตัวอย่างผ้าไว้จนเต็ม แล้วเคาะประตูร้านสูททีละร้านเพื่อขายแบบ Direct Sell “ถ้าเจอเจ้าของร้านเลย ก็มีโอกาสที่จะขายได้ เพราะเขามีอำนาจตัดสินใจสั่งผ้าได้ทันทีครับ”
แต่แล้วด้วยจิตวิญญาณของผู้ชายนักผจญภัยที่รักการท่องเที่ยว จึงทำให้เกิดจุดเปลี่ยนสำหรับธุรกิจของคุณเจในที่สุด “ผมเข็นกระเป๋าขายผ้าแบบนี้อยู่นาน และไปมาจนทั่วประเทศ วันหนึ่งผมก็นึกกับตัวเองว่า ทำไมเราไม่ทำแบบนี้ที่เมืองนอกบ้างล่ะ จะได้ถือโอกาสแบกเป้เที่ยวไปด้วยเลย คิดอยู่ไม่นานผมก็จัดการแพ็คกระเป๋าบินไปเวียดนามก่อนเลย เพราะส่วนตัวก็อยากออกไปแบกเป้เที่ยวเวียดนามอยู่แล้วครับ” การไปเวียดนามของเจ ประสบความสำเร็จด้วยกลยุทธ์แบบเดียวกันกับที่เขาทำในเมืองไทย ทำให้เจเริ่มต้นธุรกิจส่งออกผ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ครอบครัวของคุณเจไม่เคยมีใครทำมาก่อน
“ผมรู้สึกสนุกนะครับ ได้เที่ยวด้วย แล้วก็ได้ทำงานด้วย พอไปที่ใกล้ๆ แล้วสำเร็จ ทีนี้ความมั่นใจในตัวเองก็เริ่มมา เราเลยอยากไปไกลๆ บ้าง และผมก็เลือกที่จะไปอังกฤษเลยครับ” คุณเจย้อนอดีตที่ตัดสินใจเดินทางไปประเทศอังกฤษเพื่อหวังว่าจะส่งออกผ้าจากไทยไปที่นั่นโดยใช้กลยุทธ์เดียวกัน “แต่อังกฤษไม่หมูครับ เพราะเดินไปเคาะประตูตรงๆ เราจะเจอแค่พนักงาน ไม่เจอเจ้าของร้านสูทเหมือนที่เมืองไทย ผมไปวนเวียนที่อังกฤษอยู่หลายสัปดาห์ แต่ขายผ้าไม่ได้เลย สุดท้ายผมจึงพลิกวิธีคิดของตัวเอง ในเมื่อเราขายผ้าให้เขาไม่ได้ ทำไมเราไม่เอาผ้าดีๆ ของเขาไปขายในไทยแทนล่ะ?”
วิธีคิดที่เปลี่ยนไปจากการมองวิกฤติให้เป็นโอกาสทำให้เขาพบกับแบรนด์ผ้าที่มีชื่อว่า Huddersfield Textiles (ฮัดเดอร์สฟิลด์ เท็กซ์ไทล์) ซึ่งเป็นผ้าคุณภาพสูงที่ทอในประเทศอังกฤษโดยตรงทั้งหมด และทาง Huddersfield เองก็สนใจที่จะขยายตลาดมาที่เมืองไทยอยู่แล้วด้วย ทุกอย่างจึงดูลงตัว “ผมเอาผ้าอังกฤษแบรนด์ Huddersfield มาขายที่เมืองไทย ในใจก็แอบหวั่นๆ เพราะมีแต่คนสงสัยว่า ผ้าราคาสูงขนาดนี้จะเอามาขายในเมืองไทยได้อย่างไรกัน แต่ลึกๆ ผมเองก็มั่นใจในคุณภาพของผ้าว่าดีจริง และคนที่ยืนยันเรื่องนี้ได้ก็คือช่างตัดสูท ซึ่งพวกเขาก็จะ Comment กลับไปที่หน้าร้านว่า “ผ้า Huddersfield ดีนะ ตัดสูทออกมาได้สวยมากๆ” พอหน้าร้านได้ข้อมูลเหล่านั้นไปก็เกิดความมั่นใจที่จะเชียร์ให้ลูกค้าตัดสูทจากผ้า Huddersfield มากขึ้นไปด้วยครับ”
ปัจจุบันคุณเจไม่เพียงแค่ขายผ้าให้ Huddersfield เท่านั้น เพราะด้วยมนุษยสัมพันธ์ที่ดีและเป็นที่รักของเจ้าของแบรนด์ Huddersfield ในอังกฤษ รวมถึงการที่เขาได้เข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาภายในหลายอย่าง ทำให้เจ้าของแบรนด์ยินดียกหุ้นในโรงทอผ้าที่ Huddersfield ให้กับเจถึง 50% และหากจะบอกว่า “เจ” เป็นคนไทยคนเดียวที่เป็น “เจ้าของโรงทอผ้าในอังกฤษจริงๆ” ไม่ใช่แค่ว่าเป็นตัวแทนขายอย่างเดียวก็คงจะไม่ผิดนัก
ภาพคู่ของเจกับ Edward Sexton อีกหนึ่งปรมาจารย์ตัดสูทในถนน Savile Row กรุงลอนดอน
ธุรกิจกับ Huddersfield ดำเนินไปได้ด้วยดี แต่เจไม่หยุดแค่นั้น เขายังคงเดินทางต่อด้วยการเข้าสู่วงการผ้าในประเทศอิตาลี เจได้รับโอกาสจากผู้จำหน่ายผ้าสูทในเมืองนาโปลีอย่าง Caccioppoli (คัชช็อปโปลี่) และโรงทอผ้าสำหรับตัดเย็บเสื้อเชิ้ตโดยเฉพาะในเมืองโคโม่นามว่า Canclini (คันคลีนี่) ถนนแห่งผ้าคุณภาพที่ทอจากอิตาลีเข้าสู่เมืองไทยเส้นนี้นี่เองที่ทำให้ เจกลายเป็นผู้ชายชาวไทยหนึ่งในไม่กี่คนเท่านั้นที่มี “ตัวตน” ในงาน tradefair เสื้อผ้าผู้ชายที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกอย่าง Pitti Uomo (พิทที่ อูโอโม่) ที่จัดขึ้น 2 ครั้งต่อปีในเมืองฟลอเรนซ์ (Florence) ประเทศอิตาลีนี่เอง
กับงาน Pitti Uomo ที่เจได้เข้าร่วม และได้รับเชิญไปในปาร์ตี้ต่างๆ แบบ “คนวงใน”
ภาพคู่กับ Sonya Glyn, Hugo Jacomet (ภาพซ้าย) และ Jimmy Choo กับ Fabio Attanasio (ภาพขวา) ล้วนแต่เป็น Big Name ในวงการ Sartorial Style
เป้าหมายต่อไปของ Jai Sachdev คือการเปิดประตูบานสำคัญที่จะทำให้ผู้ชายชาวไทยได้รู้จักโลกของ Classic Menswear และการแต่งกายที่เหมาะสมที่มีมากกว่าแค่แบรนด์เสื้อผ้าที่ใช้เม็ดเงินยิงโฆษณาไม่อั้นแบบที่เราเห็นกันในปัจจุบัน เขาเชื่อว่าเครื่องแต่งกายที่ดีและมีความซับซ้อนในตัวอย่างชุดสูทที่ตัดเย็บอย่างประณีตบรรจง ด้วยงานฝีมือถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น จาก Artisan หรือห้องเสื้อเล็กๆ แต่เปี่ยมไปด้วยสไตล์ที่เหนือชั้น คือเสน่ห์อันทรงคุณค่าที่สุภาพบุรุษทุกคนควรจะได้ลองสัมผัส แต่เครื่องแต่งกายก็เป็นเพียงผ้าสวยๆที่ใช้ห่อหุ้มร่างกายเท่านั้น “เครื่องแต่งกายดีๆ ช่วยเสริมสไตล์ให้คุณได้จริง แต่ผมคิดว่าสุภาพบุรุษ หรือ Gentleman จะเป็นสุภาพบุรุษที่แท้จริงนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับจิตใจที่ดีและการกระทำที่ “สุภาพ” และ “ให้เกียรติผู้อื่น” สิ่งเหล่านั้นต่างหากคือเครื่องตัดสินขั้นสุดท้าย และเป็นนิยามของ Gentlemen’s Style ที่แท้จริงของผมครับ”