วันก่อนเราเดินทางไปยังพื้นที่สร้างสรรค์แห่งใหม่นามว่า “ช่างชุ่ย” ที่หลายๆ คนได้มีโอกาสเดินทางไปเดินดู และบางคนที่ไม่อยากเดินทางไปเพราะกลัวรถติด ซึ่งให้หลังได้ 2-3 วัน MDs ก็เดินทางกลับไปยัง “ช่างชุ่ย” ใหม่อีกครั้ง กับพื้นที่ที่ไม่ได้จัดงานอะไรใหญ่โตเหมือนครั้งวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้เรามีโอกาสได้เดินไปดูร้านต่างๆ ได้สะดวกขึ้น คนน้อยมากกว่าเดิมนิดหน่อย (โดยเฉพาะช่วงพระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน) วันนี้เลยอยากมาแนะนำร้านอาหาร 3 ร้าน 3 สไตล์ให้ทุกท่านได้ไปลองกันในช่วงวันหยุดที่กำลังจะมาถึงนี้ สนใจร้านไหนไปลองได้เลยครับ
Baan Buay
ฟังจากชื่อก็รู้เลยครับว่าร้านนี้เป็นของพี่บ้วย ยิ่งได้มาเห็นโลโก้ร้านแล้วยิ่งไม่ต้องคิดครับ ร้านนี้เป็นร้านอาหารไทย เน้นจุดขายคือเป็นอาหารฝีมือแม่หรือก้นครัวนั่นเอง วันนี้ MDs มาลองอาหารบ้านบ้วยกันดูกับ 2 เมนูที่คิดว่าเด็ดเพราะเห็นเขียนตัวใหญ่อยู่หน้าร้านเลย นั่นก็คือ พะโล้ต้มเค็ม และไก่ทอดครับ
เริ่มต้นที่ “ไก่ทอด” กันก่อน เมนูไก่ทอดจะมีแบบเป็น Set กับเป็นชิ้นครับ ซึ่งเราเลือกสั่งเป็นชิ้นซึ่งคุณสามารถเลือกชิ้นส่วนของไก่ได้ เช่น อก / น่อง / สะโพก / ปีก ในราคาชิ้นละ 60.- รสชาติถือว่าโอเคครับถ้าไม่ติดตรงที่ไก่ทอดของเราแอบเย็นเกินไป เอาจริงๆ ถ้ามาร้อนๆ ทานพร้อมข้าวเหนียวร้อนๆ MDs ว่าฟินแน่ๆ ครับ ข้อดีคือ ทางร้านทอดไก่มาได้แห้งประมาณหนึ่งแต่ไม่แห้งจนเกินไป ทำให้ยังมีความนุ่มอยู่ ทีเด็ดคือหนังไก่ที่ติดมากับชิ้นไก่ทอดนี่แหละครับ กรอบได้ใจจริงๆ
ต่อมาคือ “พะโล้ต้มเค็ม” (ราคา 120.-) โดยรวมถือว่ากลิ่นหอมทีเดียว แต่รสชาติอาจจะจืดไปสักนิด หากใครที่เคยทานพะโล้ต้มเค็ม หรือชอบเป็นชีวิตจิตใจ อาจรู้สึกว่า รสชาติยังธรรมดา แต่ทานกับข้าวสวยร้อนๆ ก็โอเคอยู่นะครับ ที่ชอบคือเนื้อหมูที่ทางร้านเลือกมาต้มคู่กับพะโล้ เห็นได้ชัดว่าต้มจนเปื่อย ทานง่าย น่าจะเป็นเมนูโปรดของน้องๆ หนูๆ และสำหรับคนที่ไม่ชอบรสหวานเค็มจนเกินไป
บรรยกาศของร้านบ้านบ้วยจะดูอบอุ่นๆ หน่อยครับ ตกแต่งตามสไตล์ Concept “ช่างชุ่ย” ทำให้นึกถึงบ้านหลังเก่าที่มีเหล็กดัดรอบบ้าน โต๊ะและเก้าอี้ไม้ จานที่ใช้ก็มีความหลากหลาย เหมือนมาทานข้าวบ้านเพื่อน
Pizza Pazza
ร้านต่อมาคือร้านขายอาหารอิตาเลียนครับ ขายเฉพาะ Pizza เท่านั้น ตอนแรกเราก็นึกว่าอาจจะมีอาหารประเภทเส้นด้วย แต่ไม่มีครับซึ่งทดแทนได้ด้วยเมนูที่มีเยอะแบบสุดๆ กว่า 20 หน้าให้เลือก เป็นร้านเล็กๆ ตั้งอยู่ทางด้านซ้ายมือจากประตูทางเข้าหลัก (บริเวณหางเครื่องบิน)
หลังจากที่เราอ่านรายชื่อของเมนู Pizza ของทางร้านแล้ว MDs ก็ต้องยอมแพ้ครับ ไม่รู้จริงๆ ว่าจะสั่งอะไร ซึ่งเราเหลือบไปเห็นเมนูหนึ่งชื่อว่า “Chef’s Choice” เลยตัดสินใจเลือกเมนูนี้ไปเลยครับ ให้เจ้าของร้านนี่แหละทำให้เราทาน เลือกมาเลยๆ เพราะเขาน่าจะเลือกมาให้เราเจ๋งสุดอยู่แล้ว
รอได้สักพัก Pizza ก็มาถึงโต๊ะเราครับ ซึ่งเราไม่มั่นใจว่า Chef เลือกเมนูไหนให้เรา แต่เป็นหน้าตาดังรูปด้านบนครับ รสชาติถือว่าดีเเลย กลิ่นชีสหอมมากๆ ครับ แป้งนั้นทางร้านทำเอง นวดเองถาดต่อถาด ซึ่งได้แป้งบางกรอบรสชาติดีจนไม่จำเป็นต้องปรุงเลยครับ แต่ถาดอาจจะเล็กไปนิดสำหรับคนที่ทานจุ แนะนำสั่ง 2 ถาดขึ้นไป ซึ่งเมนูที่เราสั่งมานั้นราคาอยู่ที่ 290.- ใครจะทาน 2 ถาดคงต้องมีอย่างน้อยๆ 600-700 บาทครับ
-ที่นี่ขายเบียร์ด้วยครับ มี Craft Beer คนไทยด้วยนะ-
Thé Tea House
ถือเป็นร้านชาที่น่าพาคนรู้ใจมานั่ง หรือมานั่งกับกลุ่มเพื่อน / ครอบครัวก็ได้ เพราะร้านบรรยากาศดีมาก ตกแต่งได้น่าสนใจมากทีเดียว ซึ่งถ้ามาถึงร้านนี้ เราก็ควรสั่งชาจริงมั้ยครับ โดยการเลือกชานั้นจะมีขวดเล็กๆ ที่ใส่ถุงชานำมาให้เราได้ดมกลิ่นก่อนสั่งครับ ชอบกลินไหนก็สั่งรสนั้นได้เลย หรือจะสอบถามพนักงานก่อนก็ได้ว่าแต่ละกลิ่น แต่ละขวดมีความแตกต่างอย่างไร (พนักงานที่นี่ถือว่าบริการดีมากจริงๆ)
ส่วนการสั่งอาหารนั้น ทางร้านจะมี iPad เตรียมไว้ให้ลูกค้าได้เห็นภาพขณะสั่ง ถือเป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่น่าสนใจมากๆ ครับ เห็นภาพทันที ทำให้ตัดสินใจง่ายขึ้น หลังจากสั่งขนมและชาแล้ว ทางร้านก็จะนำมาเสิร์ฟพร้อมนาฬิกาทรายครับ เพื่อเตือนให้รู้ว่า “ถึงเวลานำถุงชาออกจากกาแล้วนะ” ลูกเล่นน่ารักทีเดียว ขนมรสชาติดีครับ เข้ากับบรรยากาศ สามารถนั่งคุยกันได้นานระดับหนึ่งเลย ร้านโปรดโล่งสบาย นั่งไปก็นึกถึงบรรยากาศจิบชาใน Green House ที่ต่างประเทศเสียเหลือเกิน
บรรยากาศโดยรวมของทางร้านทำออกมาได้ดีมากทีเดียว มีการติดตั้ง Installation Art ในพื้นที่ร้านด้วยครับ เอาเป็นว่าแค่มานั่งเฉยๆ อ่านหนังสือเล่มโปรด จิบชายามบ่าย MDs ว่าก็คุ้มแล้วนะ
นี่คือ 3 ร้าน 3 สไตล์ที่ MDs อยากแนะนำให้ทุกท่านได้มาลองเปิดประสบการณ์ที่พื้นที่สร้างสรรค์แห่งใหม่นามว่า “ช่างชุ่ย” กันดูครับ ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ ถ้ายังไม่แผนไปเที่ยวที่ไหนก็เชิญมาลองกันได้เลย ชอบร้านไหน แวะไปทานร้านนั้นเลยครับ