เปิดตัวแบบตรงไปตรงมาว่า เราชาว MenDetails เป็นสายเนื้อตัวยง เรามักเลือกทานเนื้อกันอยู่บ่อยๆ ครับ และชอบเลือกร้านใหม่ๆ ไปลองอยู่ตลอด แต่ถ้าจะให้นึกถึงสักร้านที่เราแวะเวียนไปบ่อย ทั้งในห้างฯ และนอกห้างฯ ก็ต้องเป็นร้านของเชฟเจมส์แห่ง Jamie’s Burgers นี่แหละ เพราะถือเป็นเชฟคนไทยไม่กี่คนที่หลงไหลในเนื้อไทย แถมคัดเลือกเนื้อคุณภาพในราคาที่จับต้องได้มาให้เราได้เลือกทานกันอย่างจุใจ และครั้งนี้เราอยากพาทุกท่านไปเยี่ยมร้านหลัก ณ ถนนบรรทัดทองกันครับ
The โค Eating Space
ร้านตั้งอยู่ ณ จุฬาฯ ซอย 6 ครับ ตึกเดียวกับ Naplab (Co-Working Space) และถึงแม้ว่าสาขานี้จะไม่ใช่สาขาแรก แต่ถือเป็นสาขาหลักของ Jamie’s Burger ซึ่งถ้าวันไหนคุณโชคดี คุณจะได้พบกับเชฟเจมส์ตัวเป็นๆ ยืนปรุงอาหารให้พวกเราทานกัน และบางครั้งก็มักจะมีเมนูพิเศษที่ไม่วางขาย แต่เกิดจากความอยากทดลองของเชฟเอง ทำให้ที่นี่มีกลิ่นไอการลองผิดลองถูกอยู่เล็กน้อย
ภายในร้านจะถูกแบ่งออกเป็น 2 โซนครับ ส่วนหนึ่งจะเป็นโซนห้องแอร์ ส่วนอีกส่วนจะเป็นโซน Outdoor ซึ่งจะอยู่ติดกับครัวร้อนของทางร้านเลย เหมาะกับการนั่งชิล ดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ พร้อมเนื้อย่างหอมๆ สักจาน เอาเป็นว่า “ถ้าคุณยังไม่รู้จัก ที่นี่คือที่ๆ เราแนะนำให้มาลองกันดูครับ”
เริ่มต้นกันด้วยของทานเล่น
-อาจจะแหวกแนวสักหน่อย แต่อร่อยพอตัวเลยนะครับ-
จริงๆ ทางร้านมีของทานเล่นพื้นฐานหลักอย่าง French Fries อยู่แล้ว รวมไปถึง Mixed Salad แต่วันนี้เราขอลองอะไรที่แปลกแหวกสักนิดกับ Dipping Celery (59.-) สิ่งที่สู้กันตรงๆ ของ Celery เลยก็คือความสดใหม่ครับ ซึ่งทางร้านก็เลือกมาได้สดมากทีเดียว กรอบกรุบ หอมอร่อย ไม่ขมเลย ส่วน Dip คือ Signature ร้านครับ หอมและเผ็ด ค่อนข้างกลมกล่อม
-ข้าวกะเพราเนื้อ สนนราคาอยู่ที่จานละ 219.- ครับ-
จบจากของว่าง ก็ต้องต่อด้วยอีกหนึ่ง Signature ร้านอย่าง ข้าวกะเพราเนื้อไข่ดาว เพราะด้วยรสชาติอันสุดเดือด ปรุงถึงรสถึงชาติ และไข่ขาวกรอบๆ ไข่ดาวเยิ้มๆ บอกได้คำเดียวว่า “ห้ามพลาด”
จานนี้ขอเรียกว่า “A Must” เลยครับ ถ้าคุณยังไม่เคยลองทานกะเพราเนื้อเจ๋งๆ มาก่อนเลยในชีวิต จานนี้แหละคือตัวจบที่ยอดเยี่ยม ด้วยการปรุงที่ดุเดือดเลือดสาด เครื่องปรุงเข้าเนื้อแบบสุดๆ ข้าวเป็นเม็ดดี ไม่แฉะไป ทานคู่กับไข่ขาวกรอบๆ และไข่แดงที่เยิ้มแบบสุดๆ นี่คือ Ideal เลยครับ ต้องมาลองด้วยตัวเองเท่านั้นถึงจะเข้าใจว่า “ข้าวกะเพราเนื้อดีๆ มันต้องเป็นแบบไหน”
ตบท้ายด้วย Steak เนื้อไทยที่ไม่เป็น 2 รองใคร
ที่คุณเห็นตรงหน้าคือ “เนื้อไทยวากิว” ที่เชฟเจมส์ไปเลือกสรรค์มาเป็นเวลานานมากๆ กว่าจะได้เนื้อที่มีลายระดับเทพ ซึ่งข้อดีของเนื้อไทยก็คือ “ความสดใหม่” ที่ส่งตรงมาถึงร้านได้วันต่อวัน แถมวัวเองก็ได้รับการเลี้ยง ณ สภาพอากาศบ้านเรา รสชาติและกลิ่นต่างๆ ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ชัดเจนกว่าวัวชนิดอื่น
ตัวเนื้อย่างด้วยเตาถ่าน เพื่อให้ได้กลิ่นที่ยอดเยี่ยมที่สุด และย่างมาในความสุกที่เหมาะต่อการทานเป็นอย่างมากกับ Medium Rare ที่เนื้อยังคงชมพู นุ่ม และมีรสชาติลุ่มลึกพอประมาณ
สิ่งหนึ่งที่ตัวเนื้อมีความต่าง น่าจะเป็นเรื่องกลิ่นของมัน ที่ไม่เด่นชัดมากเหมือนมันเนื้อวัวจากอเมริกา ดังนั้นถ้าคุณคาดหวังกลิ่นที่หอมพุ่งเตะจมูกตั้งแต่แรก เนื้อไทยวากิวอาจไม่ตอบโจทย์ แต่เนื้อชนิดนี้ จะให้ความละมุนที่นุ่มลึกมากกว่า มีกลิ่นเฉพาะที่ไม่แรงมากนัก แต่หอมแบบกำลังดี
-เนื้อวากิวสุรินทร์ที่ทุกท่านเห็นนี้ ราคาเริ่มต้นที่ 450.- ต่อ 100 กรัมนะครับ-
ที่น่าชื่นชมมากกว่าก็คือตัวหอมย่าง กับพริกดอง ที่ทางร้านทำเองนั้น เข้ากับตตัวเนื้อได้อย่างไม่มีที่ติ บิดเกลือลงสักหน่อย หรือจิ้มกับซอส Signautre แล้วตามด้วยหอมย่าง และพริกดอง (เครื่องเคียงพอเพิ่มได้ด้วยนะครับ) เราเชื่อว่าคำคืนแย่ๆ จะกลับมาดีได้อย่างไม่ยากแน่นอน
และในวางวัน หากคุณได้พบกับเชฟเจมส์ คุณอาจได้ลองเมนูสุดพิเศษที่ไม่มีอยู่ในกระดาษ เพราะบางอย่างเกิดจากความอยากลองทำเนื้อในรูปแบบใหม่ของเชฟเอง อย่าง Brisket ที่ใช้เวลาอบ 12 ชั่วโมงในรูปเป็นต้น เอาเป็นว่า ถ้าคุณมีโอกาส เราอยากให้คุณลองมาเยือนร้าน Jamie’s Burgers ร้านนี้ดูครับ เรารับประกันว่า “สายเนื้อจะไม่ผิดหวังแน่นอน”