ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คำว่า Blockchain น่าจะกลายเป็นหนึ่งในคำที่เราได้ยินบ่อยขึ้น โดยเฉพาะคนที่สนใจเรื่องของธุรกรรมออนไลน์ และการซื้อสกุลเงินดิจิตัล ยิ่งในช่วงโควิดที่ผู้คนอยู่บ้านและเริ่มหารายได้จากสิ่งเหล่านี้มากขึ้น และเรื่องการทำธุรกรรมที่จะค่อย ๆ เปลี่ยนไปในอนาคต ทำให้ MenDetails คิดว่า Blockchain และความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิตัล ไปจนถึงเทคโนโลยีโลกเสมือนอย่าง Metaverse ไม่ใช่สิ่งไกลตัวเราอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งที่ทุกคนควรรู้จัก เพราะในอีกไม่กี่สิบปีมันจะมีบทบาทสำคัญในชีวิตมนุษย์เหมือนที่ Social media มีบทบาทกับเราในปัจจุบัน
สำหรับบทความนี้จะเป็นการพาทุกท่านไปรู้จักกับ Blockchain เบื้องต้น ซึ่งถ้าว่ากันตามตรงแล้ว น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงการทำธุรกรรมและตัวกลางครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์มนุษย์เสียด้วยซ้ำ ว่าแต่มันคืออะไร เริ่มต้นจากไหนกันแน่ คำตอบอยู่ในบทความนี้แล้ว
Blockchain คืออะไร?
พูดถึง Blockchain หลายคนน่าจะนึกถึงพวก cryptocurrency หรือสกุลเงินดิจิตัล แต่แท้จริงแล้วมันเป็นมากกว่านั้น เพราะมันคือ เทคโนโลยีการประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ (Distributed Ledger Technology หรือย่อว่า DLT) ใช้การบันทึกข้อมูลที่เรียกว่า Cryptography เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยในเรื่องความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือในการทำธุรกรรมโดยไม่ต้องอาศัยคนกลาง
ข้อดีของมัน คือ ข้อมูลในระบบนั้นจะสามารถทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ยาก เพราะใช้วิธีการเข้ารหัสที่ซับซ้อน รวมถึงตัวข้อมูลถูกปกป้องและจัดเก็บโดยการทำสำเนาไว้ในเครื่องของผู้ใช้ฐานข้อมูลเดียวกันเหมือนห่วงโซ่ (เป็นที่มาของคำว่า Blockchain) ทุกคนในฐานข้อมูลจะมีข้อมูลร่วมกันว่าใครมีสิทธิ์ในข้อมูลส่วนใด และเมื่อมีการแก้ไขทุกคนจะรับรู้รับกันแบบ real time นั่นทำให้การเจาะระบบฐานข้อมูลนี้ทำได้ยากเพราะต้องเจาะระบบฐานข้อมูลจากผู้ใช้พร้อมกันหลายเครื่อง หรืออย่างน้อยต้องเจาะให้ได้มากกว่า 51% จึงจะสำเร็จ
เพราะความปลอดภัยในการจัดเก็บข้อมูลโดยไม่ต้องพึ่งคนกลางแบบนี้ ทำให้ธุรกรรมใหญ่ของโลกอย่างธุรกรรมการเงินนำเทคโนโลยีนี้มาประยุกต์ใช้ โดยเฉพาะการซื้อขายสกุลเงินดิจิตัลเพราะมีความปลอดภัยที่สูง สะดวก รวดเร็ว เชื่อถือได้ ระบบไม่ล่ม มันจึงกลายเป็นเทคโนโลยีที่พลิกโฉมระบบการทำธุรกรรมไปอย่างสิ้นเชิง และหลายธุรกิจเริ่มนำระบบนี้มาใช้มากขึ้น
ให้กำเนิดโดยบุคคลลึกลับนามว่า Satoshi Nakamoto
ที่มาของเทคโนโลยีนี้ แม้จะมีแนวคิดลักษณะนี้มาตั้งแต่ช่วงยุค 90s แต่บุคคลที่ทำให้มันออกมาเป็นรูปร่างแบบที่เรารู้จักกันทุกวันนี้ คือบุคคลลึกลับนามว่า Satoshi Nakamoto ในปี 2008 ครับ และนอกจากจะเป็นผู้ที่ให้กำเนิดระบบนี้แล้ว เขายังเป็นผู้ให้กำเนิดสกุลเงินดิจิตัลแรกของโลกอย่าง Bitcoin ด้วย เพื่อใช้เป็นตัวอย่างอ้างอิงสำหรับระบบที่เขาคิดค้นขึ้นมา ก่อนที่ในเวลาต่อมาจะมีสกุลเงินดิจิตัลกำเนิดตามมามากขึ้นและระบบนี้เริ่มได้รับความนิยม มีคนกระโดดเข้ามาเล่นในวงการนี้มากขึ้น กลายเป็นแหล่งสร้างรายได้แห่งใหม่
ตัวตนของ Satoshi Nakamoto นั้นออกจะซับซ้อนสักหน่อย เพราะจนถึงปัจจุบันนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขามีตัวตนจริงหรือไม่ เพราะชื่อที่ใช้เป็นนามแฝง ไม่รู้แม้กระทั่งว่าเขาเป็นคนญี่ปุ่นอย่างที่กล่าวอ้างจริงไหม หรือเขาเป็นคนคนเดียว หรือเป็นกลุ่มบุคคลกันแน่ กลายเป็นหนึ่งในปริศนาของมนุษยชาติที่หลายคนพยายามสืบหาตัวตนของเขาต่อไป
อย่างไรก็ตาม มีการสันนิษฐานถึงบุคคลที่เข้าข่ายเป็นตัวจริงของ Satoshi Nakamoto เอาไว้หลายคน แม้ส่วนใหญ่จะออกมาปฏิเสธ หรือมีหลักฐานไม่เพียงพอ แต่คนที่ออกมายอมรับว่าตนคือบุคคลลึกลับคนนี้ คือ Craig Steven Wright นักธุรกิจชาวออสเตรเลีย เขาออกมายอมรับในปี 2015 แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังมีคนที่ไม่เชื่อว่าเขาคือ Satoshi Nakamoto เพราะแม้จะมีหลักฐานสนับสนุนที่มีน้ำหนักส่วนหนึ่ง แต่ข้อมูลบางส่วนของเขาก็ไม่ตรงกับที่มีการวิเคราะห์ Satoshi Nakamoto เอาไว้ ทำให้การค้นหาความจริงยังดำเนินต่อไป
การนำมาประยุกต์ใช้ในแวดวงต่าง ๆ
ไม่ใช่แค่วงการ cryptocurrency เท่านั้นที่นำระบบนี้มาใช้ เพราะความปลอดภัย รวดเร็ว ไม่ต้องผ่านตัวกลางของมัน ในปัจจุบันยังมีอีกหลายแวดวงที่หยิบเทคโนโลยีนี้มาใช้เช่นกัน และคาดว่าในอนาคตมันจะมีการใช้งานที่แพร่หลายมากยิ่งขึ้น
ตัวอย่างเช่น การนำระบบนี้มาประยุกต์ใช้กับเกม กลายเป็นเกมที่มีการซื้อขายทรัพย์สินเป็น NFTs หรือระบบการเติมเงินต่าง ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นมากมายรองรับการเติบโตของระบบนี้ หรือจะเป็นระบบการขนส่งของหลาย ๆ บริษัท / ประเทศ ที่เริ่มเอาระบบนี้มาตรวจเช็คความถูกต้อง สามารถเช็คย้อนไปถึงแหล่งที่มา หรือเช็คสต๊อกสินค้าได้ ไปจนถึงระบบสาธารณสุขที่สามารถทำให้ตรวจเช็คได้ถึงข้อมูลสุขภาพของคนแต่ละคน ประวัติการรักษา การฉีดวัคซีน และแวดวงอื่น ๆ ที่ตอนนี้กำลังเริ่มมีการพัฒนา ทั้งหมดนี้จะช่วยให้การเข้าถึงข้อมูลเร็วขึ้น แม่นยำขึ้น โดยที่ทั้งหมดไม่ต้องผ่านตัวกลาง
ระบบนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นแรก และพื้นฐานของเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่กำลังจะถือกำเนิด หรือกำลังพัฒนาอยู่ในปัจจุบัน ในอนาคตน่าจะมีบทบาทอย่างมาก มันจึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวเราอีกต่อไป ก็คงไม่ผิดนักหากเราจะบอกว่านี่อาจจะเป็นวิวัฒนาการสำคัญอีกขั้นของมนุษย์ก็เป็นได้ครับ แต่จะไปไกลแค่ไหนอันนี้ก็ต้องคอยติดตามกันต่อไป