ความเหลื่อมล้ำของคนในสังคม เมื่อคนรวยก็รวยขึ้นเรื่อย ๆ และคนจนก็จนลงต่อเนื่อง ช่องว่างระหว่างคนจนและคนรวยไม่เคยแคบลงเลย สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเกิดจากอะไร? เป็นเพราะกลุ่มคนจนมีแต่คนที่ขี้เกียจไม่เอาไหน แล้วคนรวยมีแต่คนเก่งคนดีขยันทำงานเช่นนั้นหรือไม่ หรือมีสาเหตุใดที่เหนือกว่านั้นกันแน่ MenDetails จึงอยากแนะนำแนวคิดที่เรียกว่า Cantillon Effect ให้ผู้อ่านได้รู้จักกันครับ
ความขี้เกียจและไม่รับผิดชอบทางการเงิน
“คนขยันไม่มีวันจน” ประโยคเช่นนี้คือเหตุผลที่คนส่วนใหญ่ยึดมั่น และนั่นส่งผลสะท้อนให้เกิดความคิดว่า คนที่ยากจนคือคนที่ไม่ขยันทำงาน ไม่ใฝ่หาความรู้ และไม่มีความรับผิดชอบเรื่องเงินไปโดยปริยายนั่นเอง
จริงอยู่ที่ความขยันหมั่นเพียรและใฝ่หาความรู้ทางการเงิน คือปัจจัยหลักและอาจเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้ใครสักคนหนึ่งพลิกฐานะจากความยากจนกลายเป็นคนร่ำรวยได้ แต่ในความเห็นส่วนตัวนั้น ผู้เขียนไม่เชื่อว่าความขี้เกียจและไม่รับผิดชอบทางการเงินจะมีอยู่แต่เฉพาะในกลุ่มคนจนเพียงกลุ่มเดียว แต่มันอยู่ในกลุ่มของคนรวยด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นความแตกต่างอยู่ที่ “ผลลัพธ์ของความขี้เกียจ” ที่แสดงออกมาให้คนอื่นเห็นมากกว่า
แน่นอนคนจนที่ขี้เกียจและไม่รับผิดชอบเรื่องเงินจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากลำบากอย่างชัดเจนสังเกตได้ แต่คนรวยที่ขี้เกียจและไม่รับผิดชอบเรื่องเงินจะมีสายป่านที่ยาวกว่าและสามารถปกปิดความเลวร้ายของตัวเองได้ยาวนาน หรือบางครั้งก็ใช้ความสามารถของสิ่งที่เรียกว่า Cantillon Effect จนสามารถเสพสุขบนความขี้เกียจและไร้ความรับผิดชอบทางการเงินไปได้ตลอดทั้งชีวิตในแบบที่คนจนไม่สามารถทำได้
Cantillon Effect
แนวคิดนี้ได้รับอิทธิพลมาจาก ความคิดและทฤษฎีทางการเงินของ Richard Cantillon (ค.ศ.1680-1734) นักเศรษฐศาสตร์และนักการธนาคาร ชาวไอร์แลนด์-ฝรั่งเศส ที่นำเสนอเรื่องราวความสามารถในการผลิตเงินเพิ่มขึ้นของผู้ที่มีอำนาจเพื่ออัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจจนทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยที่บุคคลที่อยู่ใกล้ชิดกับอำนาจในการผลิตเงินดังกล่าวจะมีแนวโน้มที่จะได้รับเงินที่ผลิตขึ้นใหม่เหล่านั้นก่อน และมีสิทธิที่จะได้เสวยสุขจากเงินเหล่านั้นได้เต็มที่มากกว่าบุคคลที่อยู่ไกลจากแหล่งผลิตเงิน ซึ่งจะได้รับเงินเหล่านั้นช้ากว่าและน้อยกว่า หรือไม่ได้เลย
ตัวอย่างแบบเข้าใจง่าย ด้วยการ์ดโปเกม่อน
หากให้อธิบายตัวอย่างของปรากฎการณ์นี้แบบง่าย ๆ คือ การสะสมการ์ดโปเกม่อน ซึ่งจะมีทั้งการ์ดธรรมดาและการ์ดที่หายาก โดยการ์ดหายากนั้นเป็นที่ต้องการของนักสะสมและมีราคาที่สูงมาก แต่เมื่อไม่นานนี้มีข่าวลือว่า โรงงานที่รับจ้างผลิตการ์ดโปเกม่อนหายากเหล่านี้เกิดมีช่องโหว่ในการทุจริตที่ทำให้มีการใช้ช่องทางภายใน ลักลอบเอาการ์ดหายากเหล่านั้นเอาออกมาให้กับคนใกล้ชิดแบบลับ ๆ ทำให้นักสะสมที่อยู่วงนอกจำนวนมากที่ลงทุนลงแรงหาซื้อการ์ดแบบสุ่มมากมายเพื่อหวังว่าจะโชคดีเจอการ์ดหายากเหล่านั้น เหมือนถูกหลอกให้ต้องคว้าน้ำเหลวครั้งแล้วครั้งเล่านั่นเอง
เมื่อเรานำกรณีตัวอย่างดังกล่าวมาเทียบกับระบบการเงินในปัจจุบัน เราจะพบว่ามีปรากฎการณ์นี้เกิดขึ้นอยู่มากมายในสังคม เช่น คนวงในที่รับรู้ก่อนว่ากำลังจะมีถนนเส้นใหม่ตัดผ่านตรงไหน จากนั้นก็แจ้งให้คนใกล้ชิดเข้าไปดักซื้อที่ดินในละแวกดังกล่าวไว้ก่อน หรือการที่มีวงในแอบกระซิบเงื่อนไขในการประมูลเพื่อทำธุรกิจกับทางภาครัฐเป็นเม็ดเงินมหาศาล หรือการที่ผู้มั่งมีมีโอกาสเข้าถึงเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำมากเมื่อเทียบกับผู้ที่ยากจน ทั้งหมดทั้งมวลคือตัวอย่างที่เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยนั้นถ่างออกเรื่อย ๆ และอาจจะฟังดูมีเหตุมีผลมากกว่าที่จะบอกแค่เพียงว่าคนจนนั้นขี้เกียจและไม่รับผิดชอบเรื่องเงิน
“วงจรอุบาทว์” เมื่อคนธรรมดาหมดกำลังใจจะสู้
ปรากฎการณ์ที่เรากล่าวมานี้สามารถเกิดขึ้นกับทุกที่ที่มีระบบเศรษฐกิจรวมศูนย์ให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลผู้มีอำนาจ เป็นผู้กำหนดนโยบายทางการเงินแล้วประกาศกับคนทั่วไปภายหลัง สภาวะดังกล่าวจะนำไปสู่ความพยายามของมนุษย์ในการทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เข้าใกล้อำนาจการตัดสินใจเหล่านั้น เพื่อกอบโกยผลประโยชน์จากการได้รับเงินเหล่านั้นก่อนคนอื่นเสมอ
แต่คนส่วนใหญ่ในสังคมนั้น ย่อมไม่ได้มีเส้นสายที่จะเข้าไปใกล้แหล่งอำนาจเหล่านั้นได้ กลับกันคนส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะเป็นคนที่ทำงานหาเช้ากินค่ำและอยู่ “วงนอก” มากกว่า เขาจะเริ่มรับรู้ได้ว่าการก่อร่างสร้างตัวในภาวะนี้มันยากขึ้นเรื่อย ๆ ข้าวของจะแพงขึ้นตามเงินเฟ้อ แต่รายได้ของตัวเองไม่ได้เพิ่มขึ้นตามอย่างชัดเจน เพราะเงินที่ผลิตขึ้นใหม่เข้ามาในระบบมันตกลงมาไม่ถึงพวกเขา อย่างไรก็ดีคนที่ยังเชื่อในระบบก็จะเดินหน้าทำงานต่อไปเผื่อสักวันหนึ่งความขยันของตัวเองจะออกดอกออกผล
แต่กลับกันก็มีคนอีกจำนวนไม่น้อยเลยที่ “ยอมแพ้” และไม่ศรัทธากับการต่อสู้นี้ คิดกับตัวเองว่าจะสู้ไปทำไมในเมื่อผลลัพธ์ก็ออกมาเหมือนเดิม กลายเป็นปรากฎการณ์ที่เราเห็นได้ในเมืองใหญ่มากมาย เช่น กระแส “Bai Lan” ของคนรุ่นใหม่ในจีนที่ทำงานเพียงเพื่อเอาชีวิตรอดไปวัน ๆ ก็พอ ซึ่งคล้ายกับกระแส “Satori Generation” ที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่น และเราเชื่อว่าการดำรงชีวิตแบบนี้เป็นกระแสที่กำลังเกิดขึ้นในอีกหลายเมืองใหญ่ทั่วโลกเช่นกัน เพียงแต่ยังไม่มีชื่อเรียกที่ชัดเจนเท่านั้นเอง
แน่นอนว่าปัญหาความเหลื่อมล้ำทางฐานะการเงินของคนในสังคม มีความซับซ้อนมากเกินกว่าที่จะเอาเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพียงเรื่องเดียวมาเป็นสาเหตุ การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำดังกล่าวจึงต้องใช้การศึกษาวิจัยเพิ่มเติมอีกมาก การบอกว่าคนที่จนดักดานนั้นยากจนเพราะไม่ขยันทำงานและไม่คิดหาความรู้ความเข้าใจเรื่องเงินเพิ่มเติม ย่อมเป็นการพูดเพียงด้านเดียวที่ขาดการมองในเชิงลึกว่าปัญหาในระบบเป็นอย่างไร เราควรมองไปถึงอำนาจการตัดสินใจในนโยบายทางการเงินที่อิงอยู่กับความไว้เนื้อเชื่อใจผู้มีอำนาจเหล่านั้นว่าจะเป็นคนดีมีความรับผิดชอบตลอดเวลาเพื่อหลีกเลี่ยงสภาวะดังกล่าวด้วย
คำถามคือเราควรที่จะไว้ใจมนุษย์ที่มีอารมณ์รักโลภโกรธหลงในการตัดสินใจเรื่องเงินที่สำคัญเหล่านั้นหรือไม่ และมากน้อยแค่ไหน?
หรือเราควรเอาอะไรมากำหนดนโยบายการเงินแทน “มนุษย์” เพื่อความโปร่งใสและตรงไปตรงมามากกว่านี้ดี?