เรามักจะเคยได้ยินหรือเคยได้อ่าน “กฎของการบริหารเงิน” ต่างๆมากมายจากหลายแหล่ง ไม่ว่าจะเป็นสื่อโทรทัศน์, หนังสือ และอินเตอร์เน็ต แต่ทราบหรือไม่ว่ากฎบางกฎที่เป็นที่นิยมนำมาแนะนำกันนั้นมันมักจะมีข้อแม้บางอย่างที่ทำให้เราไม่จำเป็นที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด กฎเหล่านั้นมีอะไรกันบ้าง และทำไมเราถึงไม่จำเป็นต้องทำตาม วันนี้ MenDetails มีนำมาฝากกัน 4 ข้อดังนี้ครับ
1. เลิกซื้อของเล็กๆน้อยๆ
กฎการบริหารเงินข้อนี้จะมาพร้อมกับการจำลองสถานการณ์ให้เรานึกภาพตามเกี่ยวกับการซื้อของเล็กๆน้อยๆในแต่ละวัน ตัวอย่างเช่น ถ้าเราดื่มกาแฟแก้วละ 100 บาททุกวัน เมื่อครบ 1 เดือนเราจะต้องจ่ายค่ากาแฟถึง 3,000 บาท ซึ่งเท่ากับราว 36,000 บาทต่อปี ซึ่งถ้าเราเลิกซื้อก็เท่ากับจะมีเงินเพิ่มขึ้นได้ 36,000 บาทโดยอัตโนมัติ แต่กฎการออมแบบนี้ก็เหมือนกับการพยายาม “เลิกกินของหวานเพื่อจะลดความอ้วน” ซึ่งมันจะทำให้ชีวิตของคุณ “ตึง” เกินไป อีกทั้งคงไม่มีใครดื่มกาแฟแก้วละร้อยบาททุกๆวันตลอดทั้งปีจริงไหมครับ ดังนั้นแทนที่เราจะหักดิบเลิกซื้อของเล็กๆน้อยๆอย่างกาแฟ หรือของหวานที่เราชอบ หรือเบียร์เย็นๆหลังเลิกงาน ไปทั้งหมดเลยในคราวเดียว MDs ขอแนะนำให้ค่อยๆลดจำนวนลงเรื่อยๆเพื่อหาจุดสมดุลของการออมเงินให้กับตัวเองจะดีกว่าครับ
2. อย่ามีบัตรเครดิตหลายๆใบ
กฎข้อนี้เกิดจากความคิดที่ว่า “กันไว้ดีกว่าแก้” เพราะกลัวว่าผู้ที่มีบัตรเครดิตหลายๆใบนั้นจะ “รูดเพลิน” จนไม่สามารถจ่ายเงินค่าสินค้าและบริการที่ตัวเองรูดไปด้วยบัตรเครดิตหลายๆใบได้ ส่งผลให้โดนดอกเบี้ยจากหนี้บัตรเครดิตตามมาหลอกหลอนภายหลัง จึงเตือนด้วยความหวังดีว่าถ้าจะมีบัตรเครดิตก็ควรมีแค่ 1-2 ใบก็พอเป็นทางออกที่ดีที่สุด ทว่าสิ่งที่เป็นอันตรายจริงๆไม่ใช่การมีบัตรเครดิตหลายใบ แต่เป็น “ความไม่มีวินัยทางการเงิน” ของเราเองมากกว่า หากเรามีวินัยทางการเงินที่ดีที่จะไม่ยอมใช้จ่ายเกินตัวเด็ดขาดแล้วล่ะก็ ต่อให้เรามีบัตรเป็น 10 ใบ ก็จะไม่เกิดเหตุการณ์ “รูดเพลิน” แน่นอน หนำซ้ำการมีบัตรเครดิตหลายๆใบจะกลายเป็นผลดี เพราะโปรโมชั่นที่แต่ละบัตรจากแต่ละสถาบันการเงินจัดมาให้นั้นย่อมแตกต่างกัน เราสามารถที่จะเลือกใช้บัตรเครดิตตามโปรโมชั่นพิเศษที่มีเพื่อให้รับผลประโยชน์และส่วนลดสูงสุดจากการซื้อสินค้าแต่ละครั้งได้อีกด้วยครับ
3. ต้องปลดหนี้ให้หมดก่อนแล้วค่อยออมเงินหรือลงทุน
เรื่องนี้เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ “ไม่จริงเสมอไป” แน่นอนถ้าหนี้สินที่เรามีอยู่นั้นเป็นหนี้สินที่มีดอกเบี้ยสูงอย่างหนี้บัตรเครดิต หรือหนี้กู้ยืมเงินเพื่อการบริโภค แบบนั้นคุณควรจะรีบ ๆ เอาเงินทุกบาททุกสตางค์ที่เก็บได้นั้นไปปลดหนี้ให้เรียบร้อยอย่าให้เหลือ แต่ถ้าหากหนี้ของคุณเป็นหนี้สินก้อนใหญ่ที่ดอกเบี้ยไม่ได้สูงมากอย่างเช่น หนี้ซื้อคอนโดหรือซื้อบ้าน การเก็บออมเงินเพื่อไปลงทุนในขณะที่ผ่อนบ้านไปด้วยไม่ใช่เรื่องที่ผิดแต่อย่างใด ไม่จำเป็นเลยที่คุณจะต้อง “ผ่อนบ้านให้หมดก่อน” แล้วค่อยเก็บเงินไปลงทุน กลับกันการเก็บเงินบางส่วนไปลงทุนและได้ผลตอบแทนที่ “มีโอกาสสูงกว่าดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย” จะยิ่งทำให้สถานการณ์การเงินของคุณดูดีขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย อย่ารอให้พร้อม 100% แล้วค่อยเริ่มลงทุน แต่จงสะสมความรู้เรื่องการลงทุนให้มากแล้วเจียดเงินบางส่วนมาลงทุนเพื่อหาผลตอบแทนมาช่วยปลดหนี้ในระยะยาวด้วยจะดีกว่าครับ
4. ออมเงินให้ได้ 10% ของเงินเดือน
10% ของเงินเดือนไม่ใช่ตัวเลขมหัศจรรย์ที่ทุกๆคนสามารถทำตามหรือควรทำตามให้ได้ การออมเงินของแต่ละคนควรจะมีอัตราการออมที่ต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่าง ทั้งเรื่องรายได้, อายุ, ภาระหน้าที่และความรับผิดชอบของแต่ละคนที่ย่อมไม่เหมือนกัน วิธีการที่ซับซ้อนกว่าแต่จะสะท้อนความเป็นจริงมากกว่าก็คือ การตั้งเป้าหมายว่าเราจะต้องมีเงินออมหรือเงินลงทุนรวมเท่าไหร่ ภายในระยะเวลากี่ปี จากนั้นจึงคำนวณย้อนกลับมาว่าเราจะต้องออมเงินให้ได้เดือนละเท่าไหร่เมื่อบวกรวมกับผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ จึงจะสามารถไปถึงเป้าหมายภายในเวลาที่กำหนด ซึ่งหมายความว่าคุณอาจจะออมเงินมากกว่า 10% ไปไกลลิบ หรืออาจจะออมน้อยกว่า 10% ก็เป็นได้ ออกแบบการออมเงินที่เหมาะกับตัวเองดีกว่ายึดกฎ 10% ของเงินเดือนไว้เป็นสรณะไม่ยอมเปลี่ยนแปลงนะครับ
กฎในการบริหารเงินที่ว่ามานั้น ใช่ว่าจะผิด หรือว่าไร้เหตุผลเสียทีเดียว ทว่าบางข้ออาจจะไม่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของเราเท่าไหร่นัก และการปรับเปลี่ยนพลิกแพลงกฎเหล่านี้ก็ไม่ถึงขนาดที่จะทำให้ชีวิตการเงินของเราพังพินาศแต่อย่างใด ดังนั้นการรู้จักยืดหยุ่นกฎเพื่อให้เข้ากับการใช้ชีวิตและเป้าหมายทางการเงินของตัวเองจะเป็นการดีที่สุดนะครับ