ในโลกของการลงทุนใน กองทุนรวม นั้น ผลตอบแทนที่เราสามารถคาดหวังได้จะแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ ผลตอบแทนจากส่วนต่างของราคา หรืออธิบายง่ายๆคือ “ซื้อถูกๆ แล้วไปขายแพงๆ” อีกแบบหนึ่งคือผลตอบแทนจาก เงินปันผล กองทุนรวม ที่เราเชื่อว่าจะได้รับเป็นงวดๆ ตามแต่นโยบายของแต่ละกองทุนรวม ว่าจะจ่ายหรือไม่? เมื่อไหร่? และอย่างไร?
จ่ายปันผล กับ ไม่จ่ายปันผล ต่างกันอย่างไร?
หลักการของการจ่ายเงินปันผลของกองทุนรวมก็คือ เมื่อกองทุนรวมนำเงินของเราไปลงทุนจนได้ดอกผลกลับมา เขาก็จะเอาดอกผลเหล่านั้นมาจ่ายคืนเป็น “เงินปันผล” แบ่งมาให้ผู้ที่ซื้อกองทุนรวมด้วยเช่นกัน ทำให้เราจะได้รับเงินจำนวนหนึ่งกลับมาเป็นงวดๆ แต่จะมีกองทุนรวมบางกองมีนโยบายไม่จ่ายเงินปันผลเลย อันนี้เขาไม่ได้ขี้เหนียว หรือจะโกงเราแต่อย่างใด แต่กองทุนรวมประเภทนี้เขาเลือกที่จะนำดอกผลเหล่านั้นไป “ลงทุนต่อ” เพื่อคาดหวังให้ผลตอบแทนจากส่วนต่างราคามันเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ แทนที่จะเอามาจ่ายเป็นเงินปันผลให้กับเรานั่นเอง
ซื้อแบบไหนดีกว่ากัน?
นโยบายการลงทุนและฝีมือในการลงทุนของผู้จัดการกองทุนรวม ดูจะเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการเลือกซื้อกองทุนรวมในแต่ละครั้ง แต่ถ้าหากเราตั้งสมมติฐานให้ฝีมือของผู้จัดการกองทุนรวมในการหาผลตอบแทนนั้นมี “เท่ากันพอดี” เราควรจะเลือกลงทุนในกองทุนรวมที่จ่ายปันผล หรือไม่จ่ายปันผล เพื่อจะได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าที่สุดกลับมา
น่าสนใจที่คำตอบสุดท้ายของคำถามนี้อยู่ที่เรื่องของ “ภาษี” ที่ทางกรมสรรพากรเรียกเก็บนี่แหละครับ เพราะเงินปันผลทุกงวดที่ทางกองทุนรวมจ่ายออกมานั้น จะถูกกรมสรรพากรเรียกเก็บ “ภาษีหัก ณ ที่จ่าย”เป็นจำนวน 10% ทุกครั้ง ตัวอย่างเช่น หากกองทุนรวมที่เราลงทุนไว้จ่ายเงินปันผลให้เรา 10,000 บาท เราจะโดนหักภาษีออกไปก่อน 1,000 บาททันที เหลือรับเงินปันผลจริงแค่ 9,000 บาทเท่านั้น
ภาษีจำนวน 1,000 บาทที่ถูกหักออกไป คือเงินที่สรรพากร “ขอเก็บไว้ก่อน” และเราในฐานะนักลงทุนสามารถเลือกที่จะเอารายได้จากเงินปันผลไปรวมเป็นเงินได้ปลายปี เพื่อยื่นเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และสามารถเรียกขอคืนเงินจำนวน 1,000 บาทนี้กลับมาได้ หากฐานภาษีของเราไม่ถึง 10% เช่น เมื่อยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปลายปีเรียบร้อย ปรากฎว่าเราได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีเลย เราก็มีสิทธิที่จะขอคืนเงิน 1,000 บาทที่สรรพากร “ขอเก็บไว้ก่อน” กลับคืนมาได้
แต่ถ้าเรามีรายได้อื่นๆในแต่ละปีค่อนข้างสูง จนมีฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเท่ากับ 10% ขึ้นไป เราก็ไม่สามารถเรียกเงิน 1,000 บาทที่กรมสรรพากร “ขอเก็บไว้ก่อน” ได้แน่นอน (เสียใจด้วยนะครับ)
เลือกซื้อตามฐานภาษีของตัวเอง
ถ้าเรามีรายได้น้อย ฐานภาษีต่ำมาก หรือไม่ต้องเสียภาษีเลยด้วยซ้ำไปในแต่ละปี การซื้อกองทุนรวมที่จ่ายเงินปันผลอาจเป็นทางเลือกที่ “โอเค” หากเราต้องการรายได้จากเงินปันผลเหล่านั้นอย่างสม่ำเสมอ แต่ข้อเสียก็ยังมีนั่นคือเราต้องเสียเวลาเก็บเอกสารต่างๆ เพื่อยื่นเรื่องให้กรมสรรพากรในช่วงปลายปี และรอรับเงินภาษีที่สรรพากร “ขอเก็บไว้ก่อน” คืนมาอีกต่อหนึ่ง ซึ่งถ้าเราขี้เกียจ เราก็ไม่ควรซื้อกองทุนรวมที่จ่ายเงินปันผล
แต่ถ้าเรามีรายได้สูงพอสมควร ฐานภาษีเท่ากับ 10% ขึ้นไป ทำใจไว้เลยว่าเงินปันผลของเราจะหายไป 10% ทุกครั้งแน่นอน ซึ่งถ้าเราทำใจไม่ได้ เราก็ไม่ควรซื้อกองทุนรวมที่จ่ายเงินปันผลเช่นกัน
กลับกันกฎหมายภาษีกองทุนรวมของเมืองไทย (ล่าสุดปี 2562) ช่างไม่ยุติธรรม เพราะไม่มีการเรียกเก็บภาษีของกำไรจาก “ส่วนต่างราคา” ที่เกิดขึ้นจากการ “ซื้อถูกๆ แล้วเอาไปขายแพงๆ” แม้แต่เปอร์เซ็นต์เดียว ดังนั้น การซื้อกองทุนรวมที่ไม่จ่ายเงินปันผลก็คือการเลือกให้ทางกองทุนรวมนำเงิน 10,000 บาท ไป “ลงทุนต่อ” (Reinvest) ตามนโยบายของกองทุนรวม เพื่อหวังให้มูลค่าของกองทุนรวมเติบโตขึ้น หรือ “แพงขึ้นเรื่อยๆ” และเมื่อเราขายออกไป เราก็ได้รับผลตอบแทนที่ควรได้แบบเต็มๆ โดยที่กรมสรรพากรไม่เข้ามาขอแชร์ส่วนแบ่งกับเราแต่อย่างใด
ต่างคนต่างจิตต่างใจ
แน่นอนว่า “ความจำเป็น” และ “เป้าหมายทางการลงทุน” ของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันไป บางคนมีความจำเป็นที่จะต้องได้รับ “รายได้เป็นงวดๆ” อย่างสม่ำเสมอ และถ้าเงินปันผลจากกองทุนรวมเป็นแหล่งรายได้เดียวที่เรามี เราอาจยินดี (หรือจำเป็น) ที่จะต้องมองข้ามการถูกหักภาษี 10% และความยุ่งยากนิดหน่อยในการเรียกเงินภาษีคืน (ถ้ามันคุ้มที่จะเรียกคืน) ในแต่ละปีก็เป็นได้ กองทุนรวมที่จ่ายเงินปันผลจึงกลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจขึ้นมา
ร็อคแมนชาร์จพลัง ร็อคบัสเตอร์ | credit: game-art-hq.com
แต่ถ้าเราเป็นผู้ชายที่มีเงินได้มากพอสมควร ฐานภาษีเงินได้ในแต่ละปีอยู่ในระดับเท่ากับ 10% ขึ้นไปอยู่แล้ว อีกทั้งไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องรับ เงินปันผล กองทุนรวม มาใช้จ่ายแต่อย่างใด เพราะมีแหล่งรายได้อื่นเพียงพอในการดำรงชีพอยู่แล้ว การเลือกซื้อกองทุนรวมที่ “ไม่จ่ายเงินปันผล” แล้วปล่อยให้ผู้จัดการกองทุนรวม นำดอกผลที่ได้รับไป “ลงทุนต่อไปเรื่อยๆ” เปรียบเสมือนการ “อดเปรี้ยวไว้กินหวาน” หรือเหมือน “ร็อคแมนชาร์จพลัง ร็อคบัสเตอร์” เพื่อเตรียมปลดปล่อยผลตอบแทนลูกใหญ่ทีเดียวในวันที่เราตัดสินใจขายกองทุนรวม ที่สำคัญคือไม่มีใครมาขอแชร์ส่วนแบ่งทีหลังอีกด้วย
เลือกแบบไหน เรามีสิทธิ์ตัดสินใจ ตามความจำเป็นของเราเองครับ