บทความโดย คุณ พิชญา ซุ่นทรัพย์ CFP® Certified Financial Planner นักวางแผนทางการเงิน ผู้ที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากสมาคมนักวางแผนการเงิน
ถ้ามีใครถามว่าอยาก “เกษียณ” หรือยัง หลายคนคงจะตอบว่า “แน่นอนสิ ใครจะอยากทำงานไปจนแก่ตายล่ะ” แต่ถ้าถามต่อไปอีกว่าวันนี้เราสามารถลาออกไปใช้ชีวิตสบาย ๆ แบบไม่ต้องทำงานอีกเลยได้ไหม ตอบได้เลยว่า “หยุดทำงานตอนนี้จะเอาเงินที่ไหนกิน ขนาดงานจะให้ทำยังแทบจะไม่มีเลย” ความขัดแย้งแบบนี้นี่เองที่ทำให้หลายคนลำบากใจ ใจหนึ่งก็อยากจะพักผ่อนเลิกทำงานแต่อีกด้านหนึ่งก็รู้ตัวว่าเงินเก็บเพื่อการเกษียณที่ไม่เพียงพอ (สักที) นั้นเป็นเป็นปัญหาใหญ่ที่อาจทำให้ตัวเราเอง “เกษียณไม่รอด” ในที่สุด
โดยส่วนใหญ่แล้วคนไทยเรามักจะ “เกษียณ” หรือหยุดทำงานกันที่อายุ 60 ปี แต่ตอนนี้หลายประเทศทั่วโลกเริ่มมีการเลื่อนอายุเกษียณไปเป็น 65 ปีแล้ว อย่างเช่น ในประเทศสหรัฐอเมริกาช่วงก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2008 คนอเมริกันส่วนใหญ่ฝันว่าจะเกษียณกันที่ 60 ปี หรือเร็วกว่านั้น แล้วจะขอใช้ช่วงเวลาที่เหลืออยู่พักผ่อนและให้รางวัลกับชีวิตโดยไม่ต้องทำงานงก ๆ อีกต่อไป แต่เมื่อเผชิญกับวิกฤติทำให้เงินที่เก็บสำรองไว้ไม่เพียงพอ และต้องจำใจทำงานหาเงินไปจนอายุ 65 ปีหรือมากกว่านั้นก็มี
วิกฤตการณ์ทางสังคมและเศรษฐกิจครั้งใหญ่อย่างเช่น COVID-19 อาจจะทำให้คนไทยมากมายต้องเลื่อนกำหนดเวลา “เกษียณ” ออกไปเช่นกัน เพราะนอกจากทรัพย์สินการลงทุนต่าง ๆ ที่มีมูลค่าลดลง แถมยังต้องดึงเอาเงินที่คิดจะเก็บไว้ใช้จ่ายยามแก่ นำออกมาใช้แบบแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในช่วงที่ขาดรายได้อีกด้วย บางคนคงต้องคิดให้หนักแล้วว่า “ทำงานถึงแค่อายุ 60 ปี อาจไม่พอเก็บเงินเสียแล้ว”
หากมองในแง่ดี กำหนดอายุของการเกษียณที่เพิ่มขึ้น ถือเป็นเรื่องดีอย่างหนึ่งสำหรับผู้ที่กำลังจะเข้าสู่วัยเกษียณ เพราะการเลื่อนเวลาเกษียณออกไป ทำให้เพิ่มโอกาสในการเก็บเงิน เพื่อให้มีเงินออมไว้สำหรับใช้หลังจากไม่มีงานทำแล้วมากขึ้น และยังได้ผลประโยชน์จากสวัสดิการต่างๆ อย่างประกันสังคม ประกันสุขภาพ รวมถึงผลตอบแทนที่มากขึ้นจากเงินที่ลงทุนอย่างต่อเนื่องในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ อีกทั้งด้วยวิทยาการทางการแพทย์และการดูแลสุขภาพที่ดีขึ้น ผู้คนในวัย 60 ปี อาจไม่ได้เรียกว่า “แก่แล้ว” อีกต่อไป
แต่จากตัวเลขสถิติของธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่าคนไทยในวัยเกษียณ (วัยที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป) กว่า 1 ใน 3 ยังคงต้องทำงานอยู่ และมากกว่า 50% ต้องอยู่อาศัยด้วยการพึ่งพิงรายได้จากผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นบุตร คู่สมรส เป็นต้น นั่นหมายความว่ามีเพียงประมาณ 10% เท่านั้นที่มีเงินออมเพียงพอไว้ใช้จ่ายอย่างในยามที่ตัวเองไม่ได้ทำงานหาเงินอีกต่อไป
หนำซ้ำสถิติตัวเลข 10% ข้างต้น อาจจะย่ิงน้อยลงไปอีกในตอนนี้ เมื่อเจอพิษสงของวิกฤติหนัก ๆ อย่าง COVID-19 ในช่วงปี 2019-2020 โอกาสจะเห็นคนอายุเยอะ ๆ ที่หยุดทำงานแล้วแถมมีเงินพอใช้โดยไม่ต้องรอการช่วยเหลือเรื่องเงินจากคนอื่น คงจะเป็นไปได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าหากไม่มีการวางแผนที่ดีตั้งแต่เนิ่น ๆ
ดังนั้นการเตรียมตัววางแผนไว้ก่อนจึงเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุด ยิ่งเริ่มเตรียมตัวเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งดีต่อสถานะทางการเงินในวัยเกษียณของคุณมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งถ้าคุณไม่อยากเจอกับปัญหาทางการเงินหลังเกษียณ ลองอ่านแล้วทำตามข้อแนะนำทั้ง 4 ข้อนี้ดูนะครับ
- ควรรู้ว่าตัวเองจะต้องมีเงินใช้สำหรับชีวิตหลังเกษียณอายุการทำงานเท่าไหร่ เพื่อประเมินว่าเราจะต้องออมเงินเดือนละเท่าไหร่จึงจะเพียงพอ หากไม่ทราบวิธีการคำนวณ ในเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีโปรแกรมง่าย ๆ ที่จะช่วยเราคำนวณตัวเลขเงินเก็บในวัยเกษียณอายุของคุณเองได้ครับ
- ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีให้เต็มจำนวน ทราบหรือไม่ว่ามีทางเลือกในการออมเงินมากมายที่รัฐบาลให้สิทธิไปลดหย่อนภาษีเงินได้ส่วนบุคคล เช่น กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ประกันชีวิตแบบบำนาญ ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ เป็นต้น
- ออมเงินให้เป็นนิสัย หรือสั่งตัวเองให้ออมอย่างสม่ำเสมอ ผ่านโปรแกรมการลงทุนแบบอัตโนมัติ หรือ Dollar Cost Averaging (DCA) โดยหักเงินจากบัญชีของคุณนำมาลงทุนใน กองทุนรวม ทุกเดือนในวันที่คุณต้องการ ถ้าจะให้ดีคือทุก ๆ วันที่เงินเดือนออกนั่นแหละ เพื่อป้องกันไม่ให้เรานำเงินที่ได้ไปใช้จ่ายกับอย่างอื่นก่อนจนไม่เหลือเงินสำหรับออมให้ตัวเอง เราเรียกกระบวนการนี้ว่า “จ่ายให้ตัวเองก่อนเสมอ” นั่นเอง
- ใช้สวัสดิการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่นายจ้างให้กับเราเต็มจำนวน เช่น ถ้าบริษัทของคุณเปิดให้สามารถใส่เงินสะสมได้ 2-15% คุณก็ควรเลือกสะสมสูงสุด 15% เงินนี้จะถูกหักจากเงินเดือนก่อนที่จะเข้าบัญชี นั่นหมายความว่ามันคือการออมแบบไม่รู้ตัว ทำให้เราใช้จ่ายน้อยลงไปในตัวเพราะมีเงินเข้าในบัญชีน้อยลงอยู่แล้ว และยิ่งคุณออมเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมากเท่าไรคุณก็จะยิ่งมีเงินออมไว้สำหรับใช้หลังเกษียณมากขึ้นเท่านั้น ที่สำคัญยังสามารถนำยอดจำนวนเงินสะสมไปใช้หักลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย
คำแนะนำ 4 ข้อข้างต้นอาจฟังดูซับซ้อนสำหรับผู้ชายที่เป็นมือใหม่เพิ่งหักวางแผนการเงินส่วนบุคคล แต่เราก็อยากให้ทุกคนศึกษาและทำตามให้ได้ มิฉะนั้นคุณจะเสี่ยงกับสภาพ “เกษียณไม่รอด” แน่นอน (นอกเสียจากคุณและครอบครัวจะมีฐานะทางการเงินที่ดีเลิศอยู่แล้ว จนไม่มีความจำเป็นต้องมานั่งทำอะไรแบบนี้ก็เป็นได้) ดังนั้น เริ่มเตรียมพร้อมสำหรับการเกษียณและสร้างความมั่นคงให้กับตนเองตั้งแต่วันนี้ เพื่อจะได้ไม่เป็นคนชรา ที่สร้างภาระแก่ลูกหลานและประเทศชาติในอนาคตกันครับ
บทความโดย คุณ พิชญา ซุ่นทรัพย์ CFP® Certified Financial Planner นักวางแผนทางการเงิน ผู้ที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากสมาคมนักวางแผนการเงิน