สำหรับผู้ชายที่มีความรับผิดชอบเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ พวกเรามีความสนใจและ มักวางแผนและวางเป้าหมายทางการเงินอย่างละเอียดรอบคอบ เพื่อฐานะทางการเงินที่มั่นคงและยั่งยืนของเราเองและครอบครัว แต่เราก็จะมี “ข้อสงสัย” ที่มักจะโผล่ขึ้นมาเป็นระยะระหว่างทางที่เรากำลังมุ่งหน้าสู่เป้าหมายนั้น เราเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า ” เงินซื้อความสุขได้ไหม ?” และ “ต้องมีเงินเท่าไหร่ถึงจะพอ?” ความสุขที่เราต้องการนั้นมันขึ้นอยู่กับจำนวนเงินมากแค่ไหนกันแน่
เงินซื้อความสุขได้ไหม ?
แน่นอนว่าไม่ใช่พวกเราเท่านั้นที่สงสัยในเรื่องนี้ เพราะทีมงานวิจัยทางเศรษฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยพริ้นซ์ตั้น (Princeton University) นำทีมโดย ได้เผยแพร่ผลงานวิจัยในปี ค.ศ. 2010 ที่มีชื่อว่า ที่มีดีกรีรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์High income improves evaluation of life but not emotional well-being เพื่อศึกษาว่า เงินซื้อความสุขได้ไหม และต้องมีรายได้เท่าไหร่คนเราถึงจะพอใจ
และ“ผลวิจัยพบว่าผู้คนส่วนใหญ่ยอมรับว่าพวกเขามีความรู้สึกทุกข์ใจเมื่อได้รับรายได้ในระดับที่ต่ำ และการได้รับรายได้เพิ่มขึ้นนั้นสัมพันธ์กับระดับความสุขใจที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามไปด้วยอย่างมีนัยสำคัญ แต่ทว่าความสัมพันธ์ดังกล่าวเริ่มหยุดนิ่งเมื่อระดับรายได้ของเราแตะตัวเลข 75,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี (ที่อัตราแลกเปลี่ยน 32 บาทต่อดอลลาร์ จะเทียบเป็นเงินไทยเท่ากับ 2,400,000 บาทต่อปีหรือ 200,000 บาทต่อเดือน) งานวิจัยชิ้นนี้พบว่าระดับรายได้ที่สูงขึ้นไปกว่านั้น จะไม่ส่งผลให้เกิดความสุขที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญอีกแล้ว”
พูดให้เห็นภาพง่าย ๆ ก็คือ เวลาที่เรามีรายได้ที่อยู่ในระดับประมาณ 25,000 บาทต่อเดือน ความเครียดของเราจะมีมาก เราจะเป็นกังวลกับการใช้จ่ายเงิน ต้องคอยประหยัดและระมัดระวังแทบทุกอย่าง นั่นจึงทำให้การมีรายได้เพิ่มขึ้นจาก 25,000 บาท เป็น 50,000 บาท หรือ 100,000 บาท จะช่วยคลายความกังวลเรื่องการใช้จ่ายเงินได้เป็นอย่างมากจนมีนัยสำคัญที่ทำให้เรามี “ความสุข” จากความสบายใจที่เพิ่มขึ้นได้อย่างชัดเจน
ทว่าเมื่อรายได้ของเราเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนแตะระดับ 200,000 บาทต่อเดือนแล้วนั้น การได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้นอีกเป็น 300,000 บาท แม้จะทำให้เรามีอำนาจในการจับจ่ายเพื่อการใช้ชีวิตที่เพิ่มขึ้น (Evaluation of life) แต่ “ความสุข” และความสบายใจทางอารมณ์ (Emotional Well-Being) จะไม่ได้เพิ่มตามมาในระดับเดียวกับตอนที่เรามีรายได้เพิ่มจาก 25,000 เป็น 50,000 บาทนั่นเอง ในทางกลับกันผลงานวิจัยพบว่าบางส่วนรู้สึกมีความเครียดเพิ่มขึ้น อันเนื่องมาจากรายได้ที่สูงทำให้วิถีชีวิตของเราเปลี่ยนไปจากเดิมและเริ่มไม่สามารถหาความสุขจากสิ่งที่ “เรียบง่าย” ได้เหมือนเมื่อก่อนตอนที่ยังมีรายได้น้อยอยู่ด้วยซ้ำไป
“นั่นมันสหรัฐอเมริกา ที่นี่เมืองไทย เทียบกันไม่ได้หรอก”
ในปี ค.ศ. 2010 ระดับรายได้มาตรฐานหรือ Median Income ของครัวเรือนในประเทศสหรัฐอเมริกานั้น จะอยู่ที่ประมาณ 50,000 เหรียญสหรัฐฯต่อปี ส่วนของประเทศไทยนั้น สถิติรายได้ครัวเรือนของไทย เฉลี่ยทั้งประเทศในปี ค.ศ. 2010 หรือ พ.ศ. 2553 อยู่ที่ประมาณ 22,000 บาทต่อเดือน หรือ 264,000 บาทต่อปี ซึ่งเทียบได้ประมาณ 8,250 เหรียญสหรัฐฯ ต่อปี และถ้าหากนับเฉพาะ กรุงเทพมหานคร รายได้ต่อครัวเรือนจะขยับขึ้นมาอยู่ที่ราว 45,000 บาทต่อเดือน หรือ 540,000 บาทต่อปี หรือประมาณ 16,900 เหรียญสหรัฐฯ เท่านั้น จึงไม่แปลกที่จะมีผู้เห็นแย้งว่าเราไม่ควรเอาตัวเลข 200,000 บาทต่อเดือน มายึดเป็น “สรณะ” ว่าเหมาะสมกับประเทศไทย
น่าเสียดายที่ในเมืองไทยเองนั้นไม่ได้มีสถาบันหรือหน่วยงานใดที่ทำการวิจัยอย่างเป็นรูปธรรมในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง “ความสุข” กับ “ระดับรายได้” ที่อยู่ในบริบทของคนไทย ซึ่งอันที่จริงนั้นหากได้รับการสนับสนุนให้ศึกษาอย่างจริงจัง การมีตัวเลขรายได้ที่สร้างความสุขเป็นของเราเอง จะช่วยส่งเสริมแนวคิดการใช้ชีวิตที่ตั้งอยู่บนความพอเพียง เพราะจะทำให้เราเห็นภาพว่า แม้เงินจะซื้อความสุขได้ แต่มันก็มีเพดานและข้อจำกัดในตัวของมันเองอยู่เช่นเดียวกัน
ดังนั้นในทัศนะของ MenDetails แล้วนั้น ถึงแม้ตัวเลข 200,000 บาทต่อเดือนจะไม่สามารถใช้ได้อย่างตรงไปตรงมาในเมืองไทย แต่เราก็สามารถนำมา “ประยุกต์” เพื่อวางเป้าหมายรายได้ของตัวเราเองได้เช่นกัน อย่างน้อยเราก็ได้รู้ว่าพฤติกรรมและความคิดเห็นของคนที่อาศัยอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา เขามีมาตรฐานรายได้เพื่อความสุขของตัวเองอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่ ใครที่ทะเยอทะยานอาจจะตั้งเป้าหมายตัวเองให้เป็นไปตามนั้นเลยที่ 200,000 บาทต่อเดือน (อย่าลืมบวกเงินเฟ้อด้วยนะครับ) ส่วนคนที่อยากตั้งเป้าหมายต่ำหน่อย อาจลดหลั่นลงไปตามสัดส่วนของตัวเอง
ส่วนคนไหนที่อยากจะมีรายได้เกินกว่า 200,000 บาทต่อเดือน MenDetails ก็ขอเอาใจช่วย แต่อย่างน้อยอย่าลืมว่า ณ จุดดังกล่าว ความสุขใจที่แท้จริงของคุณอาจไม่ได้แปรผันตามจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นมากเท่าไหร่แล้วนะครับ