ผู้อ่านที่ติดตามคอลัมน์ MenDetails’ MONEY เป็นประจำคงจะพอเล็งเห็นได้ว่า พวกเราสนับสนุนให้ผู้ชายที่มีความรับผิดชอบในเรื่องการเงินของตัวเองทุกคนนั้น ควรที่จะจัดสรรเงินของเราออกไป “ทำงาน” เพื่อสร้างดอกผลให้งอกเงย โดยมีวัตถุประสงค์ให้ดอกผลเหล่านั้นช่วยสร้าง “รายได้” ให้เราสามารถดำรงชีวิตตามรูปแบบและในระดับที่เราต้องการได้อย่างอิสระ อย่างไรก็ดีเราเองเชื่อว่าคำถามที่ตามมาก็คือเราควรคาดหวัง “ผลตอบแทน” เป็นจำนวนเท่าไหร่กันแน่ เพื่อความมั่งคั่งตามเป้าหมายของเราเองใน “ระยะยาว”
7% Return is All You Really Need
หากเราเป็นมือใหม่เพิ่งเริ่มเรียนรู้การลงทุน เรามักจะไล่ล่าหา “ผลตอบแทน” อย่างไม่มีจุดหมายที่ชัดเจนนัก แน่นอนทุกคนอยากจะได้ผลตอบแทนที่สูงที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้ แต่คำว่า “สูงที่สุด” ก็ยังคงเป็นเป้าหมายที่เลื่อนลอยอยู่ดีนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ MenDetails จึงขอเสนอตัวเลขผลตอบแทนที่ระดับ 7% เป็นผู้ท้าชิงให้ผู้ชายที่กำลังจะเข้าสู่สนามการลงทุนลองพิจารณาดูว่า เราจะสามารถทำได้หรือไม่ ซึ่งตัวเลข 7% ดังกล่าวมีที่มาจากเหตุผลหลากหลายประการดังต่อไปนี้
ผลตอบแทน 7% เป็นอัตราที่ “เพียงพอ” ในการสร้างพื้นฐานความมั่งคั่ง
ผลตอบแทนที่ต่ำเกินไป ย่อมไม่สามารถที่จะทำให้ ความมหัศจรรย์ของผลตอบแทนทบต้น นั้นแสดงฤทธิ์เดชได้ เงิน 1,000,000 บาทที่รับผลตอบแทนเพียง 1% ต่อปี เป็นเวลาทั้งหมด 40 ปี จะกลายเป็น 1,470,000 บาท แต่ถ้าได้รับผลตอบแทนที่ 7% ต่อปี จากเงิน 1,000,000 บาทจะทวีมูลค่าเกือบ 14 เท่าตัว กลายเป็นตัวเลข 13.9 ล้านบาทเลยทีเดียว ดังนั้นเลข 7 ถือเป็นเลขที่ “เพียงพอ” ในการสร้างฐานความมั่งคั่งให้กับทุกคนในระยะยาว แม้อาจไม่ได้รวยล้นฟ้า แต่ถ้าผนวกกับวินัยการออมเงินที่ดี คนที่ทำผลตอบแทนได้ปีละ 7% จะมีฐานะที่ “ใช้ได้” แน่นอน
ผลตอบแทน 7% อ้างอิงกับ กฎ 4% Rule
กฎ 4% Rule คือการกำหนด อัตราการถอนเงินที่ปลอดภัย (Safe Withdrawal Rate) เพื่อนำออกไปใช้จ่ายส่วนตัวโดยที่จะไม่ทำให้เงินต้นของเราหมดลง ซึ่งถือเป็นกฎเกณฑ์ที่มีประโยชน์อย่างมากในการกำหนดเงินเก็บหลังเกษียณของตัวเอง แต่กฎ 4% Rule มีข้อแม้ที่สำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้มันทำงานได้ผล นั่นคือเงินต้นของเราจะต้องสามารถทำผลตอบแทนได้ที่ 7% ต่อปีขึ้นไปเท่านั้น หากเราทำผลตอบแทนได้ต่ำกว่า 7% ต่อปีในระยะยาว กฎ 4% Rule ก็จะล้มเหลว เงินต้นของเราจะค่อย ๆ ร่อยหรอลง จนทำให้เราประสบปัญหา “เงินหมดก่อนตาย”
7% ไม่ได้ยากเกินความสามารถ หากตั้งใจจริง
การกำหนดตัวเลขเป้าหมายผลตอบแทนที่สูงเกินไป เป็นการตั้งเป้าหมายที่ส่งผลเสียหลายอย่าง ข้อแรกคือความกดดันในการลงทุนที่จะเพิ่มมากขึ้น ต้องเสี่ยงยิ่งขึ้นจนทำให้มีโอกาสผิดพลาดสูงขึ้น ข้อสองคือปัญหาเรื่องความยั่งยืนในการสร้างผลตอบแทนสูง ๆ ในระยะยาว ยกตัวอย่างนักลงทุนระดับโลกอย่าง Warren Buffett ก็สามารถสร้างผลตอบแทนได้ประมาณ 20% ทบต้นในระยะยาว แล้วเราเป็นใครถึงกล้าคิดที่จะตั้งเป้าหมายในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นการตั้งเป้าผลตอบแทน 7% ถือเป็นเป้าหมายที่ค่อนข้างอนุรักษ์นิยม และมีความเป็นไปได้ที่จะทำได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน หากเราตั้งใจจริง
บางส่วนของสิ่งที่ให้ผลตอบแทน 7% “ในอดีต”
เนื่องจาก MenDetails ไม่ใช่ผู้ที่ได้รับอนุญาตในการให้คำแนะนำทางการลงทุน ดังนั้นเราจึงสามารถพูดถึงสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนระดับ 7% ขึ้นไปในอดีตที่ผ่านมาเท่านั้น โดยตัวอย่างบางส่วนของสินทรัพย์ลงทุนที่ให้ผลตอบแทน 7% เช่น
ข้อมูลจากสมาคมผู้ค้าทองคำ ราคาทองคำในปี พ.ศ.2508 อยู่ที่บาทละ 416 บาท จนกระทั่งเคยแตะระดับประมาณ 30,000 บาทเมื่อปี 2563 แม้ราคาทองคำจะค่อย ๆ ลดลงมาอยู่ที่ราว 24,000 บาทในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2564 แต่โดยรวมแล้วทองคำให้ผลตอบแทนในอดีตประมาณ 7.6% นับตั้งแต่ปีพ.ศ. 2508
ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ดัชนีผลตอบแทนรวมของตลาดหลักทรัพย์ หรือ SET TRI เริ่มต้นตั้งแต่ต้นปีพ.ศ.2545 ที่ระดับ 1,000 จุด จนมาอยู่ที่ระดับ 10,355 จุดในวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2564 คิดเป็นผลตอบแทนประมาณ 13% ทบต้นต่อปีตั้งแต่ปีพ.ศ. 2545
ประวัติของผลตอบแทนในอดีตไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันว่ามันจะยังคงให้ผลตอบแทนแบบเดียวกันในอนาคต ดังนั้นเราควรศึกษาหาความรู้ทางการลงทุนเพิ่มเติม อย่าเชื่อสิ่งใดง่ายเกินไป แต่ขอให้ยึดเอาเป้าหมายการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนในระดับ 7% ไว้เป็นสำคัญ เพื่อการสะสมความมั่งคั่งอย่างมีทิศทางและเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ได้อย่างชัดเจนยิ่งกว่าเดิม
ผลตอบแทน 7% “มากไปหรือน้อยไป?”
อัตราผลตอบแทนที่ 7% ต่อปี จะเป็นตัวเลขที่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป ขึ้นอยู่กับเรากำลังถามใคร หากเราถามคนที่มีประสบการณ์การลงทุนมาเป็นเวลานานกับทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงสูงอย่าง หุ้น, อนุพันธ์ หรือ Cryptocurrency อย่าง Bitcoin และอื่น ๆ พวกเขาอาจได้ผลตอบแทนระดับหลายสิบเปอร์เซ็นต์ต่อปี หรือบางกรณีเป็นหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ก็มี แน่นอนว่ากลุ่มคนเหล่านี้ย่อมมองผลตอบแทนระดับ 7% ว่า “น้อยเกินไป” แต่ถ้ากลับกันเราไปถามผู้ที่ไม่มีความรู้เรื่องการเงินการลงทุนโดยรู้จักเพียงการฝากเงินในบัญชีออมทรัพย์เท่านั้น ผลตอบแทนระดับ 7% อาจเป็นผลตอบแทนที่สูงมาก จนเขาเองก็คงไม่รู้ว่าจะไปหาจากที่ไหนเหมือนกัน
หากเราเป็นคนกลุ่มแรกที่มีความรู้ความเข้าใจในการลงทุนมาอย่างยาวนาน และทำผลตอบแทนได้สูงกว่า 7% มาตลอด MenDetails ก็ขอชื่นชมและแสดงความยินดีด้วยอย่างยิ่ง แต่ถ้าเราเป็นคนในกลุ่มหลังที่ยังไม่มีความรู้และประสบการณ์การลงทุนใด ๆ หรือมีแต่น้อยนิดและยังจับต้นชนปลายไม่ถูก MenDetails เชื่อว่าการตั้งเป้าหมายที่ระดับ 7% แล้วพยายามหาความรู้ทางการลงทุนเพื่อให้ผลตอบแทนแตะระดับ 7% นั้น ถือเป็นก้าวที่สำคัญสำหรับอนาคตทางการเงินของผู้ชายทุกคนครับ
แข่งกับตัวเองก็พอ
การตั้งเป้าหมายผลตอบแทนที่ 7% ต่อปี คือการเพ่งความมุ่งมั่นที่จะ “แข่งกับตัวเอง” ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีกว่าการนำเป้าหมายของเราไป “เปรียบเทียบกับคนอื่น” อย่าลืมว่าในโลกของการลงทุนนั้นมักจะมีการนำเอาผลตอบแทนสูง ๆ มาดึงดูดให้เรารู้สึกว่า เราควรจะทำผลตอบแทนให้ดีมากจนบางครั้งเกินความสามารถและความพยายามทุ่มเทของเราเอง นั่นเพราะปัจจัยในการลงทุนของแต่ละคนมีไม่เท่ากัน ความกล้าได้กล้าเสียย่อมไม่เท่ากัน นี่ยังไม่นับกลุ่มมิจฉาชีพที่อาจเข้ามา “หลอกลวง” ด้วยการเปิดขายคอร์สสอนการลงทุนราคาแพง หรือเลวร้ายที่สุดคืออาจหลอกไปเข้าร่วมวง แชร์ลูกโซ่ อีกด้วย
ทางที่ดีกว่าคือการตั้งเป้าหมายที่สมเหตุสมผลที่ 7% ต่อปี ซึ่งถือว่าไม่ได้มากเกินไปและก็ไม่น้อยเกินไป จากนั้นพยายาม “แข่งกับตัวเอง” ในทุก ๆ ปี ให้สามารถสร้างผลตอบแทนให้ได้เทียบเท่าหรือสูงกว่านี้ไปเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องพยายามไปแข่งกับใครเขา แค่เราหมั่นศึกษาหาความรู้ทางการลงทุนให้รอบคอบและทำผลตอบแทนให้ได้ตามเป้าหมาย และรับผิดชอบการตัดสินใจในการลงทุนของตัวเองให้ได้ ผลที่จะตามมาก็คือความมั่งคั่งของตัวคุณและคนในครอบครัวของคุณเอง MenDetails ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ชายที่ต้องการพัฒนาตัวเองให้เป็นผู้ชายที่ดีขึ้นกว่าเดิมทุกคนครับ