หากคุณเป็นผู้ชายที่ขับรถยนต์ของตัวเองเป็นประจำ เคยถามตัวเองหรือไม่ว่า “การขับรถออกจากบ้านของเรานั้น มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยประมาณกิโลเมตรละเท่าไหร่?” ตัวเลขที่เป็นคำตอบนั้นจะเป็นประโยชน์มากในการคำนวณความคุ้มค่าเมื่อเราต้องการขับรถออกจากบ้านสักครั้งหนึ่ง หรือต้องการขับรถพาครอบครัวไปเที่ยวที่ไหนไกลๆ เราก็สามารถใช้ตัวเลขคำตอบ คูณกับจำนวนกิโลเมตรเพื่อหาค่าใช้จ่ายของเราได้เลย วันนี้ MenDetails จะมาบอกวิธีการคำนวณมาฝากกันครับ
1. ค่าใช้จ่ายราคารถ “ซื้อมา – ขายไป”
เวลาซื้อรถมาใช้สักคันหนึ่ง ลองวางแผนล่วงหน้าคร่าวๆ ว่าเราคิดจะใช้งานรถคันนี้เป็นเวลากี่ปี และจะใช้วิ่งประมาณกี่กิโลเมตร เราถึงจะเปลี่ยนไปซื้อรถคันใหม่ จากนั้นนำราคารถที่เราอยากจะซื้อ มาลบออกด้วยราคาขายที่เราคาดว่าจะขายได้เช่น หากรถที่กำลังจะซื้อเป็นรถขนาดเล็กที่มีราคา 500,000 บาท และตั้งใจจะใช้งานทั้งหมด 5 ปี เป็นจำนวนกิโลเมตรประมาณ 150,000 กิโลเมตร และเราเชื่อว่าจะสามารถขายรถคันนี้ได้ในราคา 200,000 บาท ตัวเลข 500,000 – 200,000 = 300,000 บาท คือค่าใช้จ่ายตัวแรกในการใช้รถของเรา
วิธีการคาดคะเนตัวเลขคร่าวๆ ว่าเราจะสามารถขายรถที่เราซื้อมาได้ในราคาเท่าไหร่ ทำได้โดยลองเข้าไปในเว็บไซต์ประกาศขายรถมือสอง เช่น Taladrod.com หรือ One2car.com จากนั้นเลือกดูรถที่เป็นรุ่นเดียวกับรุ่นที่เราอยากได้ แล้วลองหารถที่เก่าลงไป 5 ปีจากปัจจุบัน และมีจำนวนกิโลเมตรที่วิ่งใกล้เคียง 150,000 กิโลเมตร สักประมาณ 3-4 คัน ว่าพวกเขาประกาศขายกันอยู่ที่ราคาเท่าไหร่ จากนั้นเพื่อการคำนวณที่ปลอดภัยขึ้น เราอาจลดราคาลงจากตัวเลขที่ประกาศขายนั้นประมาณ 15% – 20% ก็ได้ ตัวเลขที่ได้นั้นอาจไม่ได้แม่นยำเหมือนจับวาง แต่ก็ทำให้เราเห็นภาพอนาคตของรถของเราได้ไม่มากก็น้อย ว่าจะขายต่อได้สักกี่บาทกันเชียว
เมื่อคำนวณเรียบร้อยและตรวจสอบจนพอจะมั่นใจในตัวเลขที่ได้แล้ว ให้นำ 300,000 บาท มาหารด้วยตัวเลขกิโลเมตรที่เราต้องการใช้รถ ในที่นี้คือ 150,000 กิโลเมตร และเราก็จะได้ค่าใช้จ่ายก้อนแรกที่เป็นค่าเสื่อมจากการใช้รถยนต์ ตกเฉลี่ยกิโลเมตรละ 2 บาท นั่นเองครับ จากตรงนี้ขอให้ทด 2 บาทไว้ในใจก่อนเลย
2. ค่าใช้จ่ายเรื่องเชื้อเพลิง
รถยนต์แต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อ ก็จะมีตัวเลขอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงแตกต่างกันไป (ในที่นี้เราจะขอยกตัวอย่างเป็นรถยนต์ที่ใช้น้ำมันก่อน ส่วน รถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ก็สามารถเอาแนวคิดไปลองคำนวณได้เองเช่นกันนะครับ) บางรุ่นอาจแจ้งว่า 15 กิโลเมตรต่อ 1 ลิตร หรือบางรุ่นอาจบอกว่าสิ้นเปลืองที่ 10 กิโลเมตร ต่อ 1 ลิตร แต่ถ้าจะให้ดี เราก็ควรทดสอบกับรถของตัวเองเมื่อใช้งานจริงไปเลย วิธีการทดสอบของเราก็คือ แวะเข้าปั๊มป์น้ำมันใกล้บ้าน จากนั้นเติมน้ำมันจนเต็มถังแบบ “ตัดแล้วหยุดเลย” ที่หัวจ่ายหนึ่ง แล้วให้จดตัวเลขกิโลเมตรที่เราวิ่งเอาไว้ จากนั้นจึงนำรถออกไปใช้งานตามปกติ แบบที่ไม่ต้องพยายามปิดแอร์หรือเลี่ยงรถติดเพื่อหวังให้ตัวเลขสิ้นเปลืองพลังงานนั้นดีขึ้น
เมื่อขับรถใช้งานตามปกติตลอดวันจนพอใจแล้ว ให้กลับมาที่ปั๊มป์เดิม เติมน้ำมันชนิดเดิม ที่หัวจ่ายเดิมจนเต็มถังแบบ “ตัดแล้วหยุดเลย” เหมือนเดิม จากนั้นจดจำนวนลิตรน้ำมันที่เติมได้ และกลับเข้ารถจดตัวเลขกิโลเมตรที่เราวิ่งไป แล้วนำมาหารกันเพื่อหาว่ารถที่เราใช้จริงในชีวิตประจำวัน จะใช้น้ำมันกี่กิโลเมตรต่อลิตร
สมมติว่าตัวเลขที่เราได้นั้น อยู่ที่ประมาณ 15 กิโลเมตร ต่อ 1 ลิตร ปัญหาต่อมาคือราคาน้ำมันที่เราเติมมันไม่ได้หยุดนิ่งแบบนี้ตลอดเวลา และราคาน้ำมันในอีก 5 ปีข้างหน้า อาจจะแพงกว่าราคาน้ำมัน ณ ขณะนี้ก็เป็นได้ คำแนะนำของ MenDetails คือให้บวกเผื่อค่าน้ำมันเอาไว้เพื่อตัวเลขต้นทุนที่อนุรักษ์นิยมมากขึ้น เช่น สมมติว่าราคาน้ำมันชนิดที่เราเติมในตอนนี้มีราคาลิตรละ 35 บาท ให้ลองปัดขึ้นเป็น 40 บาทเผื่อเอาไว้เลย นั่นหมายความว่า ต้นทุนเชื้อเพลิงของเราจะอยู่ที่ประมาณกิโลเมตรละ 2.50 บาท ไม่น่าเกิน 3 บาท จากนั้นจึงทดตัวเลขนั้นไว้ในใจอีกครั้ง
3. ค่าใช้จ่ายประกันภัยและภาษี
ค่าใช้จ่ายทั้งสองตัวเป็นสิ่งที่เรารู้ได้จากการตรวจสอบราคาผ่านแหล่งข้อมูลต่างๆ MenDetails แนะนำให้ซื้อประกันภัยแบบชั้น 1 จะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการพยายามประหยัดด้วยประกันชั้น 3 เพราะส่วนต่างของมันนั้น เมื่อลองหารเฉลี่ยจำนวนปีและจำนวนกิโลเมตรที่ขับแล้ว เราจะพบว่าต้นทุนต่อกิโลเมตรนั้นเปลี่ยนแปลงน้อยมาก โดยรถยนต์นั่งขนาดเล็กที่มีราคาประมาณ 500,000 บาทนั้น จะมีค่าประกันภัยชั้น 1 ตีเป็นเลขกลมๆ ไม่เกิน 15,000 บาทต่อปี และค่าภาษีประมาณ 2,000 บาทต่อปี รวมแล้วประมาณ 17,000 บาท และถ้าเราใช้รถยนต์ตามแผนเป็นเวลา 5 ปี และ 150,000 กิโลเมตร เราจะเสียต้นทุนเรื่องนี้ประมาณ 85,000 บาท หากคิดเผื่อเหลือเผื่อขาดเพิ่มขึ้นโดยปัดเป็น 100,000 บาท ก็จะเป็นต้นทุนเฉลี่ยประมาณ 70 สตางค์ต่อ 1 กิโลเมตร
4. ค่าใช้จ่ายทางด้านอะไหล่และค่าบำรุงรักษา
หากเราซื้อรถใหม่ป้ายแดง ตัวเลขการใช้งานที่ประมาณ 150,000 กิโลเมตร ถือเป็นตัวเลขที่ไม่มากไม่น้อยเกินไป เพราะที่ตัวเลขดังกล่าวเราจะใช้งานรถยนต์มาจนถึงจุดที่อะไหล่สำคัญหลายอย่างเริ่มจำเป็นต้องเปลี่ยน ถือว่าใช้งานมาจนคุ้มในระดับหนึ่ง อีกทั้ง 150,000 กิโลเมตร ยังเป็นตัวเลขที่ในสายตาของตลาดรถมือสองยังถือว่า “ไม่เก่าเกินไป” และยังขายต่อได้ในราคาที่ไม่เลวร้ายรับไม่ได้เท่าไหร่นัก
หากเราใช้รถแบบธรรมดาทั่วไป ไม่ได้รักการแต่งรถเป็นชีวิตจิตใจ ตัวเลขต้นทุนที่เป็นค่าอะไหล่ และค่าบำรุงรักษาของเราตลอดระยะเวลา 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตรจะยังไม่สูงนัก ยิ่งถ้าเป็นรถยนต์ขนาดเล็กราคาประมาณ 500,000 บาทตามตัวอย่างข้างต้น ตัวเลขก็จะยิ่ง “พอรับไหว” ตามไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น ต้นทุนค่าเปลี่ยนยางรถยนต์ 2-3 ชุด ตกชุดละประมาณ 8,000 – 10,000 บาท, ค่าแบตเตอรี่ที่ครั้งละประมาณไม่เกิน 2,000 บาท ค่าผ้าเบรครถยนต์ทั้งหน้าหลัง 2-3 รอบ ครั้งละประมาณ 5,000 บาท รวมการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง 15-20 รอบ รอบละประมาณ 1,500 บาท และหากเราใช้รถยนต์ตามปกติ ไม่ขับรถกระแทกกระทั้น และดูแลรักษาตามระยะทาง ระบบเครื่องยนต์และเกียร์ก็มักจะอยู่ในสภาพดีแม้ผ่าน 150,000 กิโลเมตรก็ตาม นอกเหนือจากนี้หากรถประสบอุบัติเหตุ หรือเสียหายจนต้องซ่อมแซมหนัก เราก็มีประกันภัยรถยนต์จากข้อ 3 คอยคุ้มครองอีกแรงด้วยเช่นกัน
คำนวณคร่าวๆ แล้ว ตลอดระยะเวลา 5 ปี และ 150,000 กิโลเมตร เราจะมีต้นทุนค่าอะไหล่และค่าบำรุงรักษา รวมกันประมาณ 60,000-80,000 บาท เทคนิคของ MenDetails คือคูณสองไปเลย เผื่อสำหรับช่วงแรกที่บางคนอาจต้องการใช้บริการที่ศูนย์บริการรถยนต์อย่างเป็นทางการ ซึ่งมักจะมีราคาที่สูงกว่าร้านข้างนอกทั่วไป หรือเผื่อเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน หรือเผื่อยามใดหากต้องการใช้ของที่มีคุณภาพและราคาที่สูงบ้าง ดังนั้นตัวเลขที่ได้จะอยู่ที่ประมาณ 150,000 บาท หรือ เฉลี่ยที่ 1 บาทต่อกิโลเมตร
บทสรุป
จากตัวอย่างข้างต้นเมื่อนำค่าใช้จ่ายทั้งหมดมารวมกัน เราจะพบว่าการมีรถขนาดเล็กธรรมดาๆ 1 คัน และตัดสินใจขับรถออกไปจากบ้านนั้น เราจะมีต้นทุนในการใช้รถประมาณ 6 บาท 70 สตางค์ ต่อ 1 กิโลเมตร เราจะเห็นว่าการคิดคำนวณแค่เรื่องของค่าน้ำมันเชื้อเพลิงเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถสะท้อนค่าใช้จ่ายจริงที่เกิดขึ้นได้อย่างครอบคลุม และถ้าหากเราคิดให้ละเอียดสุดๆ แบบคน “จู้จี้จุกจิก” เราจะพบว่าค่าใช้จ่ายข้างต้นยังไม่รวม “ค่าจ้างตัวเองขับรถ” อีกต่างหาก และถ้าเราอยากได้รถที่แพงกว่านี้, คันใหญ่กว่านี้ และสมรรถนะสูงกว่าราคา 500,000 บาทตามตัวอย่างที่ยกมา แน่นอนว่าต้นทุนต่อกิโลเมตรของเราก็จะเพิ่มขึ้นไปอีก
การหาค่าใช้จ่ายต่อกิโลเมตรสำหรับรถยนต์ของเราเอง มีประโยชน์ที่จะทำให้เราฉุกคิดมากขึ้นก่อนใช้รถ หรือนำรถยนต์ของเราออกไป “รับจ้างพิเศษ” ในกรณีต่างๆ เพราะถ้ามันไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่แท้จริงต่อกิโลเมตรของรถของเรา อาจไม่คุ้มค่าที่จะทำก็เป็นได้ อย่างไรก็ดีด้วยอรรถประโยชน์บางอย่างที่เราจะได้จากรถยนต์ในทางอ้อมและตีมูลค่าเป็นตัวเงินได้ยาก ก็อาจจะทำให้เรายินยอมที่จะใช้รถ แม้จะมีค่าใช้จ่ายที่สูงพอสมควรก็ตาม เช่น ความสะดวกสบายและการตัดสินใจไปไหนต่อไหนได้อย่างอิสระมากกว่า, ความสุขจากการที่ได้ขับรถพาครอบครัวไปท่องเที่ยว หรือการสร้างความประทับใจให้กับคู่เดตด้วยรถสวยๆ นั่งสบายๆ ซึ่งคนที่จะตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่ามัน “คุ้มค่า” หรือไม่ ก็คือผู้ชายที่กำลังจะซื้อรถทุกคนนั่นแหละครับ MenDetails หวังว่าบทความนี้จะทำให้ผู้ชายทุกท่านฉุกคิดเรื่องค่าใช้จ่ายในการใช้รถยนต์อย่างรอบด้านมากขึ้นกว่าเดิมนะครับ