เพราะโลกเราเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ในยุคปัจจุบัน คำแนะนำในการใช้ชีวิตในอดีต หลายเรื่องหลายประเด็นอาจใช้ไม่ได้ผลอีกแล้วในยุคนี้ และนี่คือ 5 คำแนะนำทางการเงิน ของผู้ใหญ่มากประสบการณ์ที่เคยใช้ได้ผลดีในยุคของพวกเขา แต่ถ้าจะให้พวกเรานำมาใช้ในยุคปัจจุบันอีกครั้ง อาจใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไปแล้วก็เป็นได้
“เรียนให้เก่ง จบออกมาจะได้มีงานทำ เงินเดือนสูง ๆ”
ถือเป็นคาถาคำสอนของผู้หลักผู้ใหญ่เลยก็ว่าได้ พวกเขามักแนะนำให้เราตั้งใจเรียน เรียนให้สูง เมื่อเรียนจบมาทำงานจะได้มีเงินเดือนสูง ๆ หรือรับราชการเป็น “เจ้าคนนายคน” คำสอนเช่นนี้ส่งผลให้ประเทศไทยมีประชากรที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีมากมาย โดยได้รับเงินเดือนเริ่มต้นขั้นต่ำจำนวนไม่มาก ถึงกระนั้นแหล่งงานในระดับดังกล่าวก็ยังมีไม่มากพอ ส่งผลให้มีนักศึกษาจบใหม่ตกงานกันจำนวนไม่น้อย ซึ่ง MenDetails เชื่อว่า ทางที่ดีกว่าคือ “อย่าเรียนในระบบอย่างเดียว” ผู้ชายรุ่นใหม่ควรศึกษาหาความรู้เชิงอาชีพ และธุรกิจนอกตำราเรียน รวมถึงหางานทำหรือหาธุรกิจทำระหว่างเรียน เพื่อสร้างทางเลือกในการหารายได้เลี้ยงชีพในอนาคต โดยไม่หวังพึ่งพาใบปริญญาเพื่อเอาไปสมัครงานเพียงอย่างเดียว
“ทำงานเก็บเงินไปฝากธนาคารไว้เยอะ ๆ”
ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในสมัยที่คนรุ่นพ่อรุ่นแม่ของเรายังอยู่ในวัยหนุ่มสาวนั้น ถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับในยุคปัจจุบัน เนื่องด้วยสภาพเศรษฐกิจที่รุ่งเรืองเฟื่องฟู นโยบายการเงินจึงเอื้อให้เกิดดอกเบี้ยที่สูง บางช่วงเวลาสูงเกิน 10% กันเลยทีเดียว จึงไม่น่าแปลกใจหากผู้หลักผู้ใหญ่จะแนะนำให้เราเอาเงินไปฝากธนาคาร เพราะพวกเขาเคยชินกับดอกเบี้ยที่สูงเป็นพิเศษ แต่ในปัจจุบันที่ดอกเบี้ยเงินฝากลดต่ำลงอย่างมากจนเหลือแค่ระดับ “จุดทศนิยม” หากเรามัวแต่ฝากธนาคารอย่างเดียว ย่อมไม่มีหวังที่จะเห็นเงินนั้นเติบโต แถมจะยิ่งโดน “เงินเฟ้อ” ทำให้ด้อยค่าลงไปทุกวันอีกด้วย
“ซื้อบ้านไว ๆ เพราะยังไงบ้านก็ราคาขึ้น”
ไม่มีใครเถียงว่าที่อยู่อาศัยคือปัจจัยสี่ที่จำเป็น แต่คำแนะนำให้ซื้อบ้านดี ๆ หลังใหญ่ ๆ อาจใช้ไม่ได้แล้วในปัจจุบัน นั่นเพราะราคาบ้านในช่วงเวลาที่ผ่านมาพุ่งสูงขึ้นจากยุคก่อนมาก ในขณะที่ระดับรายได้ของคนยุคใหม่ไม่ได้ปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในอัตราเดียวกัน ดังนั้นหากเราทำตามคำแนะนำของผู้หลักผู้ใหญ่ด้วยการพยายามซื้อบ้านหลังโตโดยเร็ว เราคนรุ่นใหม่จะต้องกัดฟันแบกภาระหนี้เงินกู้ซื้อบ้านที่ใหญ่เกินตัว ทางที่ดีควรใจเย็น ๆ ค่อย ๆ ชั่งใจว่าเราจำเป็นที่จะต้องซื้อบ้านจริง ๆ หรือไม่ หรือจะหาทางนำเงินไปลงทุนสร้างผลตอบแทนที่ดีในทางอื่นนอกเหนือจากบ้านก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย
“ให้รัฐดูแล สบายยามแก่แน่นอน”
ผู้หลักผู้ใหญ่มีความคิดว่า การทำงานรับราชการ ถือเป็นงานที่มีความมั่นคงแน่นอน และเป็นงานที่ “การันตี” ว่าชีวิตหลังเกษียณอายุราชการของเราจะสบาย หรือผู้ชายที่จ่ายเงินสมทบกองทุนประกันสังคมมาตลอด ก็คาดหวังว่าเขาจะได้รับเงินเหล่านั้นกลับคืนมาพร้อมดอกผลงดงามตามที่ภาครัฐสัญญาเอาไว้ว่าจะดูแลพวกเขา แต่ในปัจจุบันความคิดดังกล่าวอาจไม่ได้มีความ “แน่นอน” เหมือนในอดีตอีกต่อไป เพราะภาครัฐเองก็ใช่ว่าจะร่ำรวยมีเงินมาเลี้ยงได้ไม่อั้น อีกทั้งโครงสร้างประชากรที่คนในวัยทำงานกำลังลดลง สวนทางกับจำนวนคนแก่ที่เพิ่มสูงขึ้น จะทำให้ภาครัฐประสบปัญหากับการจ่ายเงินเลี้ยงดูคนในวัยเกษียณมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นอย่าหวังพึ่งพาภาครัฐเพียงอย่างเดียว จงหาทางหนีทีไล่และพึ่งตัวเองไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วยนะครับ
“มีครอบครัว มีลูก จะได้ให้ลูกเลี้ยงยามแก่เฒ่า”
เมื่อถึงวัยที่เหมาะสม ผู้หลักผู้ใหญ่ มักจะคาดหวังให้ลูกเต้าออกเรือนแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา มีคู่ชีวิตที่ดี และมีลูกเป็นโซ่ทองคล้องใจ บางคนอาจให้คำแนะนำว่ามีลูกไว้เยอะหน่อยก็ดี จะได้ให้ลูกเต้าเลี้ยงดูเราในยามที่เราแก่เฒ่า แต่สถานการณ์ในปัจจุบันนั้นแตกต่างไปจากเดิมอย่างมาก การแต่งงานมีคู่ชีวิตและ “มีลูก” มาพร้อมกับความกดดันและรายจ่ายก้อนโตที่ตามมาแน่นอน อีกทั้งด้วยสภาพสังคมที่แปรเปลี่ยนไปในทางปัจเจกนิยมมากขึ้น แนวโน้มการแยกตัวเป็นครอบครัวเล็ก หรือแยกตัวไปอยู่คนเดียวของลูกหลานก็มีเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ความคาดหวังว่าลูกของเราจะอยู่กับเราและคอยเลี้ยงดูเราไปจนแก่เฒ่า อาจไม่ใช่เรื่องที่น่าเชื่อถืออีกต่อไป ดังนั้นอย่าได้ตั้งใจพึ่งพาลูกหลานของตัวเองเป็นหลักจะดีกว่า
ความหวังดีของผู้หลักผู้ใหญ่ที่นับถือเป็นสิ่งที่เราควรน้อมรับด้วยความเคารพ แต่อย่างไรก็ดีเราเองต้องมีความรู้และมีวิจารณญาณที่จะพิจารณาว่า คำแนะนำทางการเงิน บางอย่างของพวกเขาเหล่านั้นที่เคยใช้ได้ผลดีในอดีต อาจใช้ไม่ได้แล้วในยุคปัจจุบัน ลองนำไปปรับใช้กันดูเพื่อพัฒนาชีวิตทางการเงินของเราเองให้ดีขึ้นกว่าเดิมนะครับ