ข้อแรกสุด ผู้ชายทุกคนควรรู้ว่า Scotch Whisky ( สก๊อตช์ วิสกี้ ) คือสุราของมึนเมาที่ผู้ที่เป็นสุภาพบุรุษทุกคนควรดื่มอย่างมีความรับผิดชอบ ไม่ดื่มอย่างขาดสติจนก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตัวเองและบุคคลอื่นโดยเด็ดขาด ไม่ว่าด้วยกรณีใดๆทั้งสิ้น หากคุณละเลยหรือทำตามข้อนี้ไม่ได้ เราขอแนะนำให้หยุดอ่าน และเลิกดื่มสุราและของมึนเมาไปเลยจะเป็นการดีต่อตัวเองและส่วนรวมมากกว่านะครับ
ประวัติศาสตร์ของ ” สก๊อตช์ วิสกี้ “
หากจะบอกให้ชัดว่าสุราประเภทที่เรียกว่า Scotch Whisky (สก๊อตช์ วิสกี้) นั้น ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกเมื่อไหร่ อันนี้คงจะระบุแบบชัดเจนได้ยาก แต่ถ้าหากดูจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่มีบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร จะพบว่าเริ่มมีการพูดถึงการบ่มเหล้าวิสกี้เป็นครั้งแรกในระเบียนการจัดเก็บภาษีอากรของสก๊อตแลนด์ (The Exchequer Rolls of Scotland) ลงวันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ. 1495 หน้าที่ 487 ที่เขียนไว้ว่า “To Friar John Cor, by order of the King, to make aqua vitae VIII bolls of malt” แปลได้ว่า “นายจอห์น คอร์ ได้รับเมล็ดมอล์ทจำนวน 8 ชาม (boll ในภาษาโบราณมีความหมายเหมือน bowl) เพื่อบ่มสุรา (aqua vitae เป็นภาษาละตินที่แปลว่า น้ำแห่งชีวิต แล้วเอามาใช้เรียกแทนสุรา) ตามคำสั่งของพระราชา”
ภาพข้อความบางส่วนของ ‘The Exchequer Rolls of Scotland’
สุรา หรือ aqua vitae หรือ “uisge beatha” ในภาษาสก๊อตติชโบราณ ที่หมักด้วยเมล็ดมอลท์จึงถือกำเนิดขึ้น และได้วิวัฒนาการจนกลายเป็น “Scotch Whisky” นับแต่นั้นเป็นต้นมา ซึ่งเราจะเรียกว่า Scotch หรือ Scotch Whisky ได้ก็ต่อเมื่อมันเป็นวิสกี้ที่ผลิตในประเทศสก๊อตแลนด์เท่านั้น หากผลิตที่อื่นจะเรียกได้แค่ วิสกี้ โดยไม่สามารถมีคำว่า Scotch นำหน้าได้ หลังจากนั้น “วิสกี้” ก็ได้รับความนิยมไปทั่วสก๊อตแลนด์ จนต้องมีการประกาศเก็บภาษีการค้าวิสกี้อย่างจริงจังในปี 1644 อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะได้รับความนิยมไปทั่วสก๊อตแลนด์ แต่เหล้าวิสกี้ก็ยังไม่แพร่หลายออกไปภายนอกประเทศ เนื่องจากในช่วงเวลานั้น ผู้คนส่วนใหญ่นิยมดื่มไวน์ และบรั่นดีกันมากกว่า แต่โชคก็เข้าข้างวิสกี้ เมื่อในช่วงราวปี 1870 มีแมลงชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “Phylloxera vastatrix” แพร่ขยายและกัดกินทำลายไร่องุ่นที่ปลูกองุ่นเพื่อผลิตไวน์และบรั่นดีในประเทศฝรั่งเศสเป็นวงกว้าง จนทำให้ไวน์และบรั่นดีเกิดขาดตลาดขึ้นมาทันที ทำให้นักดื่มทั้งหลายจำเป็นที่จะต้องหาเหล้าดีๆชนิดอื่นมาดื่มแทน และนั่นจึงเป็นโอกาสที่ทำให้ “สก๊อตช์ วิสกี้” สามารถแจ้งเกิดและได้รับความนิยมไปทั่วยุโรปได้ในที่สุด
กว่าจะได้ชื่อว่า “Scotch”
การที่จะเรียกว่า Scotch Whisky หรือ สก๊อตช์ วิสกี้ ได้นั้น จะต้องมีกฎเกณฑ์หลายอย่างที่จะคัดกรองว่าวิสกี้ขวดใดเป็น หรือไม่เป็น “Scotch Whisky” ซึ่งกฎเกณฑ์ดังกล่าวเรียกว่า “Scotch Whisky Regulations 2009” หรือตัวย่อ “SWR” อันเป็นกฎที่ควบคุมการผลิต, การจัดจ่าหน่าย, การขาย และการโฆษณาสุราประเภทสก๊อตช์ วิสกี้ ภายในสหราชอาณาจักรเป็นสำคัญ แต่ถึงแม้จะมีจุดประสงค์เพียงเพื่อควบคุมภายในประเทศ แต่กฎเกณฑ์ดังกล่าวก็ได้รับการยอมรับ และนำไปใช้ควบคุมอย่างแพร่หลายในทางการค้าระหว่างประเทศด้วย ส่งผลทำให้การนำเข้าส่งออกสุราประเภทวิสกี้ก็ได้ยึกหลักการของ SWR เช่นกัน
ภาพข้อความบางส่วนของ “Scotch Whisky Regulations 2009” หรือตัวย่อ “SWR”
วิสกี้ที่จะได้ชื่อว่าเป็น “สก๊อตช์ วิสกี้” ตามเกณฑ์ SWR จะต้องมีคุณสมบัติที่สำคัญดังต่อไปนี้
1. วัตถุดิบในการผลิต และกระบวนการผลิตทั้งหมดต้องอยู่ภายในสก๊อตแลนด์เท่านั้น
2. มีความแรงของแอลกอฮอล์ไม่ต่ำกว่า 40% แต่ไม่เกิน 94.8%
3. บ่มในถังไม้โอ๊คที่มีขนาดความจุไม่เกิน 600 ลิตร เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 3 ปี
4. จะต้องมีสี, กลิ่น และรสชาติที่สะท้อนจากวัตถุดิบแท้ๆและขั้นตอนการผลิตโดยตรง
5. ไม่มีการเพิ่มเติมสารปรุงแต่งใดๆ ยกเว้นสีคาราเมลประเภท E150A เท่านั้น
สก๊อตช์ วิสกี้ จากแต่ละภูมิภาคของสก๊อตแลนด์
แม้จะผลิตในสก๊อตแลนด์เหมือนกัน แต่ Scotch Whisky ที่ผลิตได้จากแต่ละภูมิภาคของสก๊อตแลนด์นั้นก็มีลักษณะเฉพาะและรสชาติที่แตกต่างกัน โดยที่เราสามารถแยกภูมิภาคของสก๊อตแลนด์ตามลักษณะเฉพาะของวิสกี้ที่ผลิตออกมาได้ดังนี้
Campbeltown
ภูมิภาคนี้มีโรงบ่มหลักเพียงสามที่เท่านั้น ได้แก่ Glen Scotia, Glengyle และ Springbank ความสำคัญต่ออุตสาหกรรมวิสกี้โดยรวมจึงอาจจะน้อยหน่อย
Islay
ภูมิภาค “ไอเล” เป็นเกาะที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของแผ่นดินใหญ่ของสก๊อตแลนด์ Scotch Whisky ของภูมิภาคนี้ขึ้นชื่อมากในเรื่องของรสชาติที่หนักแน่นเข้มข้น มีโรงบ่มที่สำคัญเช่น Ardbeg, Bowmore เป็นต้น
Whisky Map of Scotland
The Highlands
ภูมิภาคแผ่นดินใหญ่ช่วงตอนเหนือของสก๊อตแลนด์ ผลิตวิสกี้ที่ให้เนื้อสัมผัสหนานุ่มระดับกลางๆ รสชาติจะเบากว่าวิสกี้จาก Islay แต่จะหนักแน่นกว่าวิสกี้ที่ได้จาก The Lowlands และเนื่องด้วยเขต The Highlands กินอาณาบริเวณกว้างขวางทำให้มีโรงบ่มตั้งกระจายกันเป็นจำนวนมาก โดยมีโรงบ่มที่สำคัญๆได้แก่ Dalwhinnie, Glenmorangie, Old Pulteny และ The Dalmore เป็นต้น
The Lowlands
เป็นเขตที่ผลิตวิสกี้ที่มีรสชาตินุ่มและเบาที่สุด กลิ่นของ Scotch Whisky ที่ได้จาก The Lowlands จะมี smoke ที่น้อย ทำให้เป็น Scotch ที่ดื่มง่าย และไม่มีกลิ่นที่หนักเกินไป โรงบ่มวิสกี้ที่มีชื่อเสียงในเขตนี้ได้แก่ Glenkinchie, Auchentoshan เป็นต้น
Speyside
เป็นเขตที่มีแม่น้ำสเปย์ (Spey) ไหลผ่าน อันเป็นแม่น้ำที่มีความสำคัญต่อการผลิตวิสกี้ในเขตนี้เป็นอย่างยิ่ง รสชาติวิสกี้ของ Speyside นั้นขึ้นชื่อในเรื่องของความหอมกลมกล่อม และรสชาติที่ดีเยี่ยม จนทำให้ Scotch Whiskey ของที่นี่มีชื่อเสียง และขายดีไปทั่วโลก Speyside เป็นเขตที่มีโรงบ่มวิสกี้มากที่สุดในสก๊อตแลนด์ โดยมีโรงบ่มชื่อดังเช่น Glenfiddich, Glenlivet และ The Mccallan ต่างตั้งอยู่ในเขต Speyside แห่งนี้ทั้งสิ้น
scotchmaltwhisky.co.uk
ประเภทของ Scotch Whisky
ถึงแม้จะได้ชื่อว่า Scotch Whiskey แต่เหล้าชนิดนี้ก็ยังแตกย่อยออกเป็นอีกหลายแบบหลายสไตล์ตามรูปแบบการผลิตที่แตกต่างกัน ซึ่งมีประเภทหลักๆดังต่อไปนี้ครับ
Single Malt Scotch
“ซิงเกิ้ล มอล์ท สก๊อตช์” คือวิสกี้ที่บ่มโดยใช้เพียงข้าวบาร์เล่ย์มอลท์ และน้ำเปล่า “เท่านั้น” ไม่มีธัญพืชชนิดอื่นใดเจือปนอีก วิสกี้ยี่ห้อดังที่อยู่ในตระกูล Single Malt ที่ MenDetails อยากแนะนำ เช่น Glenlivet 12 Years หรือ The Mccallan 12 Years
Single Grain Scotch
“ซิงเกิ้ล เกรน สก๊อตช์” เป็นวิสกี้ที่เริ่มหมักด้วยข้าวบาร์เล่ย์และน้ำเปล่าเช่นกัน แต่จะมีการเพิ่มธัญพืชบางชนิดและวัตถุดิบบางอย่างเข้าไประหว่างการบ่ม ทั้งนี้เพื่อเป็นการเลี่ยงไม่ให้ถูกเรียกว่าเป็น Single Malt ด้วยเหตุผลทางกฎหมายและการเก็บภาษี
Blended Scotch
“เบล็นเด็ด สก๊อตช์” เกิดจากการนำ Single Malt อย่างน้อย 1 ชนิดขึ้นไปมาผสมเข้าด้วยกันกับ Single Grain อีกชนิดหนึ่ง ซึ่งโดยส่วนใหญ่เหล้าสก๊อตช์วิสกี้ที่คนไทยดื่มกันทั่วไปไม่ว่าจะเป็น 100 Pipers, Johnnie Walker, Chivas Regal จะอยู่ในตระกูล Blended Scotch ตัวนี้นี่แหละครับ
Blended Malt Scotch
“เบล็นเด็ด มอล์ท สก๊อตช์” คือการนำ Single Malt ตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป ที่มาจากคนละโรงบ่มกัน มาผสมกันจนกลายเป็น Blended Malt Scotch ข้อดีก็คือวิสกี้ทุกตัวที่นำมาผสมกันนั้นจะเป็นวิสกี้ประเภท Single Malt ทั้งสิ้น แต่วิสกี้แบบนี้จะมีราคาที่ย่อมเยากว่า Single Malt ที่มาจากโรงกลั่นเดียวเพียวๆครับ ซึ่งวิสกี้ประเภท Blended Malt Scotch ตัวอย่างเช่นยี่ห้อ “Monkey Shoulder” ที่นำ Single Malt Scotch ทั้งหมดสามชนิดจาก Glenfiddich, Balvenie และ Kininvie มาผสมรวมกัน
Blended Grain Scotch
“เบล็นเด็ด เกรน สก๊อตช์” คือการนำ Single Grain Scotch อย่างน้อย 2 ชนิดขึ้นไปจากคนละโรงบ่มมาผสมเข้าด้วยกัน
ถ้าจะให้สรุปรวมเอาแบบพื้นฐานที่สุดก็คงต้องเน้นที่การแบ่งระหว่าง Single กับ Blended ครับ วิสกี้ที่เป็น Single Malt เกิดจากการบ่มที่โรงบ่มเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ และไม่มีการผสมวิสกี้ชนิดอื่นเพิ่มเติมลงไป แต่สำหรับ Blended นั้นจะเป็นการผสมกันระหว่าง วิสกี้ตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป นำมารวมกันเพื่อให้ได้วิสกี้รสชาติใหม่ขึ้นมานั่นเอง
วิธีการดื่ม Scotch Whisky
MenDetails เชื่อว่าเราคนไทยคงคุ้นเคยกับเหล้าประเภทวิสกี้นี้เป็นอย่างดี และคนไทยก็มีวิธีการดื่มวิสกี้ที่หลากหลาย ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นการผสมกับเครื่องดื่มชนิดอื่น หรือที่เรียกกันติดปากว่า “มิกเซอร์” (Mixer) นั่นเอง ซึ่งมิกเซอร์ที่คนไทยนิยมนำมาผสมกับวิสกี้ได้แก่ น้ำเปล่า, โซดา และ โค้กหรือเป๊บซี่ ผสมน้ำแข็งเย็นชื่นใจ ข้อดีของการดื่มลักษณะนี้นั่นก็คือ “ดื่มง่าย ลื่นคอ” ใครอยากดื่มแบบเข้มหรืออ่อนแบบไหนก็สามารถผสมตามสัดส่วนที่ตัวเองชอบใจ แต่มีข้อเสียที่สำคัญก็คือส่วนใหญ่แล้วเราจะไม่ได้ลิ้มรสชาติที่แท้จริงของวิสกี้แต่ละชนิด เพราะมันได้ถูกเจือจางและถูกกลบด้วยรสชาติของบรรดามิกเซอร์ไปหมดแล้วนั่นเองครับ
‘Butlerจากร้าน Black Amber Social Club ริน Scotch Whisky ลงในแก้ว Chef&Sommelier’
สำหรับคอวิสกี้โดยแท้จริง หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกกันว่า Whisky enthusiasts มักให้ความเห็นว่าวิธีการดื่มวิสกี้นั้นควรเป็นการดื่มแบบไม่ผสมอะไรทั้งสิ้นเลย ไม่ใส่แม้แต่น้ำแข็งเลยด้วยซ้ำไป โดยดื่มด้วยการดมกลิ่นก่อนเป็นหลัก ใจเย็นๆ ค่อยๆพิจารณากลิ่นของวิสกี้แต่ละแบบอย่างช้าๆ จากนั้นให้ค่อยๆจิบเพียงเล็กน้อย เมื่อดื่มเข้าไปแล้วก็พิจารณารสชาติและกลิ่นของวิสกี้แต่ละชนิดแต่ละยี่ห้อว่ามีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างกันอย่างไรบ้าง การดื่มแบบนี้จะเชื่องช้าและอาจไม่ทันใจบรรดาคอเหล้าที่เน้นดื่มเร็วๆเป็นหลัก แต่ข้อดีก็คือ คุณจะได้เข้าใจว่าวิสกี้แต่ละชนิด แต่ละแบบนั้น ให้กลิ่นและรสชาติที่น่าสนใจแตกต่างกันอย่างไรบ้าง และนั่นคือจุดประสงค์หลักของการดื่ม Scotch Whisky มากกว่าที่จะเน้นดื่มให้ “เมา” นะครับ
สำหรับใครที่รู้สึกว่าดื่มแบบเพียวๆแบบนั้นมันโหดเกินไป MenDetails ก็แนะนำให้ใส่น้ำแข็งหรือที่เราเรียกว่า “On the rock” โดยไม่ต้องผสมมิกเซอร์ใดๆเพิ่มครับ ข้อดีของวิธีนี้คือคุณจะได้ลิ้มรสวิสกี้แบบจริงๆจังๆในช่วงแรก และหลังจากนั้นเมื่อน้ำแข็งมีการละลายลงไปบ้าง ความเจือจางจะช่วยทำให้ whisky แก้วดังกล่าวดื่มได้ง่ายขึ้น แต่ก็ต้องทำใจกับรสชาติที่จะเปลี่ยนไปจากช่วงแรกด้วยนะครับ
‘วิสกี้บอล’ คือก้อนน้ำแข็งทรงกลมที่ละลายช้า และเหมาะกับการดื่มวิสกี้แบบ ‘On the rock’
สุดท้ายเราคงไม่บังอาจที่จะตัดสินได้ว่ามีวิธีการดื่มแบบใดที่ถูกต้อง 100% ดังนั้นใครชอบแบบไหนก็ดื่มได้ตามนั้น แต่มีอยู่หนึ่งวิธีที่เป็นการดื่มวิสกี้ที่ผิดแน่นอน นั่นก็คือการดื่มจนเมามายและสร้างความเดือดร้อนให้กับตัวเองและผู้อื่น นั่นแหละคือการดื่มที่ MenDetails กล้าพูดได้เลยว่า “คุณดื่มวิสกี้แบบผิดๆแล้วล่ะครับ”
และทั้งหมดก็คือ “ความรู้เบื้องต้น” ที่ผู้ชายควรรู้เกี่ยวกับ Scotch Whisky ซึ่งไม่ว่าคุณจะชอบดื่มหรือไม่ชอบดื่มก็ตาม การทำความรู้จักกับสุราที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมในระดับโลกชนิดนี้ ถือเป็นความรู้ที่ MenDetails มั่นใจว่า “รู้ไว้ไม่เสียหายครับ”
ย้ำอีกครั้งว่าขอให้สุภาพบุรุษ MenDetails “ดื่มอย่างมีความรับผิดชอบ” กันทุกท่านนะครับ