หากใครอยากผ่อนคลายตัวเองจากการดำเนินชีวิตที่เร่งรีบในกรุงเทพมาสัมผัสถึงความสงบในใจกลางเมือง MenDetails ขอแนะนำให้ทุกคนลองมาใช้เวลาที่ The Sukhothai Bangkok โรงแรมที่มีบรรยากาศสงบร่มรื่นและบอกเล่าความเป็นไทยผ่านการออกแบบอย่างเต็มเปี่ยม บริเวณด้านหน้าโรงแรมที่มีสระบัวรายล้อมนั้นเป็นที่ตั้งของ Celadon (ศิลาดล) ห้องอาหารไทยดั้งเดิมที่มีชื่อเสียงเลื่องลือจากรสมือชั้นเยี่ยมของเชฟรสริน ศรีประทุม วันนี้ทีมงาน MenDetails ได้มีโอกาสลิ้มลองความอร่อยแล้ว และบอกได้ว่านี่เป็นห้องอาหารที่เหมาะสำหรับมื้อพิเศษและวันพิเศษที่ไม่อยากให้ทุกคนพลาดครับ
ไปเยือนห้องอาหารไทย Celadon
ห้องอาหารไทย Celadon มาในรูปแบบศาลาไทยที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสมัยสุโขทัย การตกแต่งภายในนั้นก็ตกแต่งแบบไทยร่วมสมัย โดยสร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือนตั้งแต่ก่อนเข้าห้องอาหาร ด้วยการเสิร์ฟ Welcome Drink รสชาติดี ประกอบด้วยกระชายหมักน้ำผึ้งและมะกรูดหมักน้ำผึ้ง ทางโรงแรมบอกว่าจะหมักนานถึง 2 สัปดาห์เพื่อดึงรสชาติน้ำผึ้ง 100% ให้ออกมาดีที่สุด ดื่มแล้วดับความกระหายน้ำและช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ร่างกายได้อย่างดีเยี่ยม
สำหรับการให้บริการ จะมีทั้งเสิร์ฟแบบ A La Carte และ Tasting Menu เป็นเซ็ต โดยเมนูที่มีในเซ็ตก็จะรังสรรค์ขึ้นมาโดยเฉพาะ ไม่มีเสิร์ฟแบบจานเดี่ยวแยกนะครับ สำหรับ Tasting Menu 6 courses ราคาจะอยู่ที่ 2,400++ ส่วน Tasting Menu Full Experience 8 courses จะอยู่ที่ 2,600++ โดยเมนูที่ทาง MenDetails เลือกก็จะเป็นการสัมผัสประสบการณ์แบบ Full Experience ซึ่งเรามองว่าคุ้มค่ากว่า นอกจากนั้นยังมีคอร์สแบบ Wine Pairing สำหรับคนที่สนใจดื่มไวน์คู่กับอาหาร แล้วก็ยังมีการแสดงรำไทยที่จัดขึ้นเป็นรอบ ๆ ให้ชมระหว่างรับประทานอาหารอีกด้วยครับ
เริ่มต้นด้วยการเปิด Palette ในการรับรส
จานแรกจะเป็นเมนูที่ค่อย ๆ เปิด Palette ในการรับรสของเราให้พร้อม โดยรสชาติจะค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นไปทีละน้อย เมนูแรกเสิร์ฟเป็น หนังไก่ทอดกรอบน้ำพริกข่า มาในรูปแบบของหนังไก่ทอดกรอบกับข่าเม็ดโฟม ตกแต่งออกมาดูอินเตอร์แบบยกระดับอาหารไทยให้ดูอินเตอร์ขึ้น ด้านรสชาติของซอสและความเผ็ดกำลังพอดีของข่าเสริมเข้าคู่กันกับหนังไก่ทอดกรอบ ถือเป็นจานที่เริ่มต้นการเดินทางได้สวย
จานถัดมาเป็นเมนู ค้างคาวเผือกกุ้งแม่น้ำลูกหม่อน สำหรับค้างคาวเผือกถือเป็นเมนูของว่างของไทยแต่โบราณที่ปัจจุบันหาทานค่อนข้างยากครับ ตัวเมนูนี้ทำมาจากแป้ง เผือกและกุ้ง สำหรับค้างคาวเผือกของเชฟริน ต้องบอกว่าเป็นจานที่เปิดพาเลตทั้งปากและทำให้เกิดความอยากอาหารจานต่อ ๆ ไปมากขึ้น เนื่องจากรสชาติเข้มข้นมากครับ ตัวไส้ด้านในที่เป็นเผือกมีความเหนียวและหวานเบา ๆ ของเผือก ซึ่งต้องทานพร้อมกับเผือกทอด พริกเกลือและแยมลูกหม่อนที่อยู่รอบจาน จะได้รสชาติ Complex และเข้มข้นมาก มีทั้งความหวานเปรี้ยวเค็มเผ็ดผสานกัน ถือว่าเป็นจานทานเล่นที่ว้าวเลยทีเดียว
การเดินทางของความอร่อยก่อนจะถึงจานหลัก
การเดินทางของความอร่อยมาถึงจุดที่จะได้ลิ้มลองรสชาติแซ่บ ๆ กันบ้างแล้ว สำหรับสองจานนี้ จะเป็น พล่าปลาทรายมังคุดคัด และ ต้มแซ่บหอยเชลล์ใบชะมวง สำหรับพล่าปลาทรายก็จะเป็นตัวที่ได้รสชาติแบบการทานยำ มังคุดคัด คือ มังคัดอ่อนที่เลือกมา เชฟรินเล่าว่าจะเลือกเป็นมังคุดที่เปลือกยังไม่เป็นสีม่วงเลยครับ เพื่อที่จะให้ได้สัมผัสกรอบ ๆ จะได้เข้ากันดีกับปลาทราย สำหรับตัวน้ำยำ คือ พล่าน้ำใสที่ใส่กะทิเข้าไปเล็กน้อย ปรุงด้วยน้ำส้มซ่าและน้ำปลา ทำให้ได้รสชาติหวานเค็มเปรี้ยวเข้ากันอย่างลงตัว
ส่วนเมนู ต้มแซ่บหอยเชลล์ใบชะมวง แรกเริ่มจะเสิร์ฟแบบแห้งมาก่อนแล้วค่อยเทน้ำต้มแซ่บตามลงไปครับ นี่อาจจะเป็นเมนูที่ฉีกกว่าเมนูอื่น ๆ ในคอร์สสักหน่อย เพราะจานอื่นจะมีความไทยแท้ดั้งเดิม ในขณะที่จานนี้จะออกแนวไทยประยุกต์ เป็นหยิบหอยเชลล์ของต่างชาติมาเข้าคู่กับต้มแซ่บแบบไทย ๆ ซึ่งรสชาติที่ควรจะเป็นของต้มแซ่บ คือ หวานเค็มเผ็ดและหอมข้าวคั่ว โดยส่วนตัว สำหรับเรามองว่าชามนี้อาจจะรสจัดไปสักหน่อยหนึ่ง แต่หากเป็นคนชอบทานอาหารรสจัดและเข้มข้น อาจจะถูกปาก ต้องลองครับ
3 จานหลักกับความเข้ากันอย่างลงตัวและปิดท้ายด้วยของหวาน
และแล้วก็เดินทางมาถึงจานหลักของมื้ออาหารไทยสุดพิเศษในครั้งนี้ โดยเสิร์ฟทั้งสามจานมาพร้อมกัน ประกอบไปด้วยกุ้งแม่น้ำสามสายย่างไม้โมก แกงสิงหลแก้มวัว มะระหวานผัดไข่
สำหรับจานกุ้งแม่น้ำสามสายย่างไม้โมก จะเสิร์ฟข้าวสองสีมาคู่กัน กุ้งแม่น้ำถือว่าตัวใหญ่และสดมาก มีซอสฉู่ฉี่มันกุ้งและน้ำปลาหวานให้เลือกจิ้ม รสชาติของซอสที่มีความ Contrast กันทำให้การทานจานนี้ไม่น่าเบื่อเลยครับ เมื่อมีข้าวกับเนื้อสัตว์เป็นกุ้งแล้วก็ต้องทานแกงควบคู่กัน สำหรับแกงสิงหลนั้น ถือเป็นแกงโบราณที่สันนิษฐานว่าเข้ามาในไทยสมัยรัชกาลที่ 2 เป็นเหมือนส่วนผสมของแกงพะแนงกับแกงมัสมั่น จึงทำให้แกงสิงหลมีความเข้มข้นมาก หอมกะทิ และที่สำคัญเนื้อส่วนแก้มวัวนุ่มมาก แทบจะไม่ต้องเคี้ยวเลยครับ จานนี้เด็ดจริง ๆ
สุดท้ายที่จะช่วยทำให้อาหารคาวของมื้อนี้มีบาลานซ์กำลังดี คือ มะระหวานผัดไข่ เมนูสุดคลาสสิกนี่แหละครับจานที่ทำให้เราอร่อยจนจบมื้อ เนื่องจากที่ทานมาทั้งหมด รสชาติเขาจะเข้มข้นมาก ๆ พอมีจานที่ Light และทานง่ายเข้ามาจึงทำให้องค์รวมออกมาพอดีครับ สำหรับจานนี้ มะระหวานมาก ไม่ขมและยังกรอบมาก ๆ ด้วย
ระหว่างที่กำลังเพลิดเพลินกับจานหลักอยู่นั่นเอง เชฟรินก็เดินมาเล่าให้ฟังถึงความตั้งใจในการทำอาหารไทยว่าเธอเลือกใช้วัตถุดิบจากทั่วประเทศ “อาหารไทย เป็นอาหารที่ควรทำจากรู้จักวัตถุดิบดี เพราะของจากแต่ละท้องถิ่นรสชาติให้ไม่เหมือนกัน” เชฟรินกล่าวเช่นนั้น จึงเป็นที่มาของการเลือกวัตถุดิบในการปรุงอาหารจากหลากหลายจังหวัด เพราะรสชาติของวัตถุดิบเดียวกัน จากคนละจังหวัด คนละพื้นที่กันก็ให้รสชาติที่ไม่เหมือนกันแล้วนั่นเอง
ปิดท้าย Full Experience คอร์สสุดท้ายด้วย เมนูขนมหวานกับกระเจี๊ยบดอกจอกกับไอติมลูกตาลสด เป็นเมนูที่เราชอบมาก ๆ ครับ ตัวไอศกรีมเป็น Sorbet ที่ใช้ลูกตาลสดมาทำ มีความหวานอมเปรี้ยวแบบสดชื่น เข้ากันได้ดีกับขนมดอกจอกกระเจี๊ยบ โดยปกติแล้วรสชาติของดอกจอกจะคล้ายกับทองม้วน แต่ในจานนี้ดอกจอกใส่กระเจี๊ยบลงไปด้วยจึงมีรสเปรี้ยวแทรกเข้ามาครับ ทั้งหมดนี้นั้นก็เป็นประสบการณ์อาหารไทยดั้งเดิมที่ MenDetails ประทับใจและคิดว่าคุ้มค่าราคาในการแวะมาเยือนเป็นอย่างยิ่ง
จานเดี่ยวนั้น รสชาติชั้นเยี่ยมไม่น้อยหน้า
นอกจาก Tasting Menu ที่เราได้ลองไปทั้งหมดนั้น ห้องอาหาร Celadon ก็ยังเมนู A La Carte อีกมากมายให้ได้เลือกสรรครับ เราขอหยิบเมนูที่ว่าเด็ดและควรลองมาแนะนำ ประกอบไปด้วย ข้าวเกรียบปากหม้อโบราณ (550.-) และ พล่าเนื้อมะเขือเปราะ (580.-)
สำหรับข้าวเกรียบปากหม้อโบราณจานนี้ ต้องบอกว่าอร่อยจนอยากสั่งเพิ่มเลยทีเดียว ซอสเคี่ยวเอง ใช้เป็นน้ำตาลดอกมะพร้าวที่หมักจนมีความเปรี้ยวเหมือนน้ำส้มสายชู เข้ากันได้ดีกับแป้งก๋วยเตี๋ยวและไส้ข้างในที่ทำจากเห็ดชิเมจิ ท็อปด้วยเนื้อปูและยังมีความเผ็ดแบบพอดีแทรกจากพริกจินดา
ส่วนพล่าเนื้อมะเขือเปราะ ใช้เนื้อเทนเดอร์ลอยจากสุรินทร์ รสชาติของพล่าก็จะเป็นความเปรี้ยวหวานเค็มลักษณะเดียวกับพล่าปลาทราย เป็นรสชาติแบบที่เราชอบครับ นอกจากนั้นก็ยังมีเมนูทานเล่น แกง จานหลักอีกมากมาย ณ ห้องอาหาร Celadon แห่งนี้ให้ได้ลิ้มลองกัน ทางเราก็คงต้องหาโอกาสแวะมาซ้ำอีกเพื่อจะได้ไม่พลาดเมนูเด็ดเมนูใดไป
สุดท้ายแล้ว นอกจากห้องอาหาร Celadon ที่เราได้ไปลิ้มลองความอร่อยผ่านเรื่องราวของวัตถุดิบไทยในครั้งนี้ โรงแรม The Sukhothai Bangkok ก็ยังมีห้องอาหารอิตาเลี่ยน La Scala ที่ MenDetails เคยสัมผัสประสบการณ์อันน่าประทับใจอีกด้วย หากใครมองหามื้ออาหารพิเศษที่อยากจะเพลิดเพลินไปทั้งกับบรรยากาศและรสชาติอาหาร ต้องไปลองด้วยตัวเองครับ