สุขภาพสายตา เป็นเรื่องที่ควรใส่ใจเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวครับ เนื่องจากวิถีชีวิตในทุกวันนี้ เราใช้สายตาหนักขึ้นมาก ทั้งในส่วนการทำงานและชีวิตส่วนตัว การอยู่กับหน้าจอโทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์เป็นระยะเวลานาน ๆ หลายชั่วโมง อาจส่งผลให้เกิดปัญหาสายตาได้มากมาย ทั้งสายตาสั้น-ยาว ตาแห้ง ตาเบลอพร่ามัว ไปจนถึงโรคเกี่ยวกับสายตาระยะยาว ฉะนั้น MenDetails อยากให้ผู้ชายทุกคนหันมา ดูแลสายตา อย่างจริงจัง มาดูกันดีกว่าครับว่าเราควรจะปฏิบัติตัวอย่างไร เมื่อโลกของการทำงานในโลกปัจจุบันนี้ต้องอยู่กับหน้าจอทั้งวัน
เลือกใช้อุปกรณ์ทีช่วยป้องกันดวงตาเราจากแสง
แสงที่ออกมาจากหน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แล้วเป็นอันตรายต่อสายตาของเรา คือ แสง UV ชนิดต่าง ๆ รวมถึงแสงสีฟ้า (Blue Light) ซึ่งแสง UV ไม่ได้มาจากแสงแดดเพียงอย่างเดียว มันประกอบอยู่ในหน้าจอเหล่านี้ด้วย ถ้าอยากจะดูแลสายตาเพิ่มขึ้นในส่วนของอุปกรณ์ เราสามารถตัดแว่นตากรองแสงได้ ใครที่สายตาสั้นหรือยาวก็ตัดเป็นเลนส์ที่มีค่าสายตาไปด้วย โดยมีทั้งแว่นตากรองแสงที่ใช้เลนส์สีเดียว มีทั้งสีชา/เทา/เขียว และอีกประเภท คือ Transitions Lens ที่สามารถเปลี่ยนสีเลนส์ได้อัตโนมัติตามแสงของสภาพแวดล้อม เป็นสีใสภายในอาคาร และเข้มขึ้นเมื่ออยู่ในรถยนต์รวมถึงกลางแจ้ง
ส่วนแสงสีฟ้าที่หลาย ๆ คนคิดว่าเป็นอันตรายต่อสายตามาก จริง ๆ แล้วไม่มีข้อมูลทางการแพทย์ที่ยืนยันว่ามันทำร้ายจอประสาทตาจริง ส่วนอาการจอประสาทตาเสื่อม หากเกิดจากพฤติกรรมหรือปัจจัยใด ๆ ก็ใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะเห็นผล แต่สิ่งที่จะมาก่อน คือ อาการเตือนอย่างตาแห้งหรือปวดตาที่บ่งบอกว่าเราใช้งานดวงตาหนักเกินไป
ข้อควรระวังของแสงสีฟ้า น่าจะเป็นเรื่องกระทบการนอนหลับมากกว่าเรื่องทำลายจอประสาทตา เนื่องจากแสงสีฟ้านั้นช่วยกระตุ้นให้สมองตื่นและรู้สึกว่าเป็นเวลากลางวัน ฉะนั้นถ้ารับแสงสีฟ้ามากเกินไปในเวลากลางคืนอาจจะส่งผลกระทบกับฮอร์โมนเมลาโทนินลดน้อยลงจนเอฟเฟคการนอนหลับได้ (ข้อมูลส่วนนี้อ้างอิงจากนายแพทย์นนท์ รัตนิน จักษุแพทย์จากโรงพยาบาลจักษุรัตนิน)
ฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องตัดแว่นที่ใช้เลนส์กรองแสงสีฟ้าเพื่อดูแลดวงตา ยกเว้นว่าเราเป็นผู้ที่มีปัญหาจอประสาทตาเสื่อมอยู่แล้ว ตัดแว่นกรองแสงจะตอบโจทย์กว่าเนื่องจากแสง UV ทำอันตรายต่อดวงตาได้จริง รวมถึงปรับพฤติกรรมในการใช้งานที่เราจะพูดในข้อต่อไป
พฤติกรรมในการใช้สายตาสำคัญที่สุด
เมื่อมีการเลือกใช้และปรับอุปกรณ์เพื่อช่วย ดูแลสายตา แล้วก็ต้องปรับในเรื่องพฤติกรรมการใช้งานของเราควบคู่ไปด้วยครับ เริ่มจากรู้จักปรับระยะห่างของตัวเรากับอุปกรณ์ อย่าจ้องหน้าจอใกล้เกินไป การเพ่งมองอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในระยะใกล้ทำให้เสียสายตาและดวงตาทำงานหนัก หน้าเราควรอยู่ห่างจากหน้าจอโทรศัพท์ 30-40 เซนติเมตร ถ้าเป็นจอคอมพิวเตอร์ควรจะห่างราว 70 เซนติเมตร โดยควรจะถือสมาร์ตโฟนและนั่งใช้งานคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในท่าทางที่ถูกต้อง จะได้ไม่กระทบกับปัญหาสุขภาพด้านอื่น ๆ ด้วย
ควรใช้งานในพื้นที่ที่มีความสว่างมากพอ ไม่ควรใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในที่มืด เนื่องจากดวงตาจะต้องเพ่งทำงานหนักมากกว่าปกติ อาจทำให้ปวดกระบอกตา ตาล้าพร่าเบลอได้ ระยะยาวอาจส่งผลถึงค่าสายตาไปจนถึงโรคต้อหินได้ด้วย ใครที่ชอบปิดไฟนอนเล่นสมาร์ตโฟนยิ่งต้องระวังครับ การนอนตะแคง นอนเอียงอาจทำให้ค่าสายตาขึ้นเยอะเพียงข้างเดียวได้เนื่องจากมีดวงตาหนึ่งข้างที่ทำงานหนักกว่า
และควรกำหนดระยะเวลาในการใช้งานจอ เนื่องจากการใช้งานอย่างต่อเนื่องนี่แหละครับที่เป็นตัวการอันตรายกับสายตา ต้องรู้จักพักบ้าง ใช้งานสักครึ่งชั่วโมงก็ควรละสายตาจากจอไปมองทางอื่น หลับตาพักสัก 1 นาที หรือออกไปมองพื้นที่ทิวทิศน์สีเขียวเพื่อผ่อนคลายแล้วค่อยใช้งานต่อครับ ที่สำคัญ คนที่มีปัญหาเรื่องสายตาสั้นหรือยาวอยู่แล้ว ควรจะใส่แว่นตลอดการใช้งานอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่าใช้ดวงตาเปล่า ๆ ในการทำงาน มิฉะนั้นอาจจะค่าสายตาอาจจะเปลี่ยนเร็วและดวงตาทำงานหนักเกินไปครับ
บริหารและบำรุงดวงตาได้หลายวิธี
นอกจากปรับพฤติกรรมในการใช้งานสายตาแล้ว เรายังสามารถบริหารดวงตาเสริมเข้าไปเพื่อเป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อตาได้ด้วย โดยวิธีบริการอย่างง่ายที่สุด คือ กลอกตา ให้เราอยู่ในท่าตัวตรง หน้าตั้ง คอตรง ลืมตาแล้วค่อยกลอกตาในลักษณะเป็นวงกลมแบบช้า ๆ หรืออาจจะเป็นการกลอกขึ้น-ลง และซ้าย-ขวาก็ได้ครับ ทำต่อเนื่องท่าละ 10 ครั้ง หรืออาจจะใช้นิ้วมือนวดวนขณะที่หลับตาก็จะช่วยให้อาการปวดตาบรรเทาลงได้ และยังมีท่าฝึกโฟกัสสายตาอีกหนึ่งท่าที่ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อตา โดยการนำนิ้วชี้ขึ้นมานำสายตา เลื่อนนิ้วชี้เข้าใกล้และค่อย ๆ ดึงให้ห่างออกจากระยะหน้าช้า ๆ
ประกอบกับการเลือกกินอาหารเพื่อช่วยบำรุงสายตาจากภายใน ซึ่งหลัก ๆ แล้ววิตามินที่มีส่วนช่วยในการบำรุงสายตา ได้แก่ วิตามิน A, วิตามิน C, วิตามิน E และวิตามิน D โดยพบได้จากเนื้อสัตว์ พืช ผักผลไม้ ธัญพืชและถั่วชนิดต่าง ๆ
เจาะลึกลงไปอีกหน่อยเรื่องการกิน เราควรจะเน้นไปทางอาหารที่มีส่วนประกอบของ Lutein (ลูทีน) และ Zeaxanthin (ซีแซนทีน) ที่ช่วยชะลอหรือลดความเสี่ยงของโรคเกี่ยวกับตาได้ สารทั้งสองนี้เป็นธรรมชาติที่มักพบในผักใบเขียวเข้ม เช่น ผักกาดขาว ผักคะน้า ผักบุ้ง ผักโขม ผักปวยเล้ง บร็อคโคลี ผักผลไม้สีเหลือง เช่น แครอท ฟักทอง มันเทศ พริกหยวก มะม่วงสุก ไปจนถึงผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เช่น แบล็กเบอร์รี่ มัลเบอร์รี่ โกจิเบอร์รี่ สตรอว์เบอร์รี่ เป็นต้น นอกจากนั้นไข่แดง อะโวคาโด และมะเขือเทศก็เป็นแหล่งที่พบสารอาหารลูทีนมากด้วย
การที่จะ ดูแลสายตา ให้ไม่ต้องทำงานหนักเกินไปนั้น ต้องประกอบด้วยการใช้อุปกรณ์ช่วย ปรับพฤติกรรมและเวลาในการใช้งาน รวมถึงรู้จักบริหารและทานอะไรที่บำรุงสายตาครับ ทุกอย่างต้องควบคู่กันไปถึงจะเป็นการดูแลที่มีประสิทธิภาพ