ตั้งแต่มีสถานะ ‘คนคุย’ เกิดขึ้น ความสัมพันธ์ยุคนี้ดูจะซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ เพราะการเป็นคนคุยนั้นไม่ใช่สถานะแฟน หรือบางคนก็ไปเดทกันเฉย ๆ แต่ว่าไม่ได้เป็นคนคุย บางคนก็ตกหลุมพรางความรู้สึกแบบ อยากคุยแต่ไม่อยากคบ ทั้งที่รู้สึกชอบพอในตัวอีกฝ่าย แต่ก็ไม่มากพอจะพัฒนาความสัมพันธ์ให้จริงจังขึ้น ใครที่กำลังเผชิญความรู้สึกหรือสถานะแบบนี้อยู่ MenDetails อยากพาให้ไปรู้จักกับโรคกลัวการผูกมัด หรือ Commitment phobia ครับ
อยากคุยแต่ไม่อยากคบ มักจบลงในขั้นที่ 4 ของการพัฒนาความสัมพันธ์
จริง ๆ แล้วการที่คนเราสานต่อและพัฒนาความสัมพันธ์กันมันมีหลักวิชาการมารองรับอยู่ครับว่าเรากำลังอยู่ในสเตจไหนของความสัมพันธ์ในครั้งนี้ และทฤษฎีหนึ่งที่ได้รับการยอมรับและถูกหยิบมาอ้างอิงบ่อย ๆ คือ Knapp’s Relational Development Model ครับ โมเดลในการพัฒนาความสัมพันธ์ ประกอบไปด้วย 5 ขั้น
1. ทำความรู้จัก (Initiating) ช่วงของการแนะนำตัวให้ทั้งสองฝ่ายได้รู้จัก Background ของอีกคน เป็นการพูดคุยทำความรู้จักกันเบื้องต้น ถ้าเป็นการจีบสาวออนไลน์ก็คือขั้นตอนที่เราได้อ่านโปรไฟล์ของพวกเธอผ่านโซเชียลมีเดียหรือ Dating App และเริ่มทักทายกันนั่นเอง
2. ศึกษากันและกัน (Experimenting) ช่วงที่มีการพูดคุยแบบ Small Talk เกิดขึ้น คุยเรื่องอื่น ๆ เพิ่มเติมจากข้อมูลเรื่องชื่อ อายุ หรืองานที่ทำ มหาวิทยาลัยที่จบมา เป็นช่วงที่คุยเรื่องความชอบและงานอดิเรกของแต่ละฝ่ายเพื่อหา Something in common ว่าเราจะคลิกกันหรือไม่
3. กระชับความสัมพันธ์ (Intensifying) ขั้นนี้คือช่วงเวลาแห่งการเดท การลองใช้เวลาด้วยกัน สถานะคนคุยจะอยู่ที่ขั้นนี้เป็นหลักครับ
4. หลอมรวมความสัมพันธ์ (Integrating) ขั้นนี้คือขั้นของการตกลงเป็นแฟนกัน คบกันโดยมีสถานะชัดเจนมารองรับ
5. การผูกมัด (Bonding) ขั้นนี้จะหมายถึงการแต่งงาน ตกลงอยู่ร่วมเป็นคู่ชีวิตกันและกัน
ส่วนใหญ่แล้วสถานะของคนคุยแต่ไม่ได้คบ มักจะค้างอยู่ตรงช่วง Intensifying นี่แหละ พอมีทีท่าที่ความสัมพันธ์จะจริงจังขึ้น ต้องเลื่อนสถานะไปเป็นแฟน หรือมีการพูดถึงสถานะที่เราเป็นอยู่ต่อกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราวมากขึ้นก็อาจจะทำให้มีฝ่ายหนึ่งถอยไปเสียอย่างนั้น ใครที่เคยประสบปัญหาแบบนี้ หรือกำลังเผชิญเหตุการณ์แบบนี้อยู่ เคยสงสัยไหมครับว่าเพราะอะไรมันจึงเกิดขึ้น สำหรับบางคนอาจเกิดขึ้นซ้ำหลายครั้งจนยังไม่ได้คบใครจริงจังสักทีเสียด้วย บางทีเราอาจจะอยู่ในสภาวะ Commitment Phobia แบบไม่รู้ตัวก็เป็นได้
Commitment Phobia คืออะไร?
โรคประเภท Phobia ต่าง ๆ นั้นเป็นอาการทางจิตที่เราจะรู้สึกหวาดกลัวอย่างรุนแรงต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งครับ ซึ่งอาจเกิดขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล หรือเกิดจากสาเหตุพวกบาดแผลทางใจในอดีต ปมที่เคยเกิดขึ้นแล้วยังไม่ได้รับการแก้ไข ความกลัวจากจิตใต้สำนึกที่เราจะรู้สึกไม่ดีเมื่อเหตุการณ์นั้น ๆ เกิดขึ้น ซึ่งก็มีทั้งความกลัวต่อสิ่งของ สิ่งมีชีวิต กลัวสถานการณ์ต่าง ๆ หรือกิจกรรมทางสังคมครับ
ซึ่งความกลัวจะมากหรือน้อย ส่งผลต่อสภาพจิตใจและการดำเนินชีวิตมากขนาดไหนนั้นก็แตกต่างกันไปในแต่ละคน อย่างโรคกลัวการผูกมัด (Commitment Phobia) ก็ถือเป็นอาการหนึ่งในโรค Phobia ประเภทหนึ่ง เป็นสภาวะที่เรากลัวการตกลงปลงใจ หากพูดถึงในด้านความสัมพันธ์ก็คือกลัวการต้องผูกมัดกับใครอย่างชัดเจน กลัวการคบกันแบบจริง ๆ จัง ๆ ครับ
สาเหตุของคนที่ตกอยู่ในสภาวะแบบนี้ อาจเกิดจากปัญหาในความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว เช่น พ่อแม่แยกทางกัน บางคนอาจเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเอง (Low Self-esteem) อาจเคยมีประสบการณ์ความรักแย่ ๆ ผิดหวังอย่างรุนแรง เชื่อใจคนผิดหรือโดนหลอกมาก่อน หรือว่ายังไม่เคยอยู่ในความสัมพันธ์ที่จริงจังเลยจนไม่กล้าตัดสินใจพัฒนาต่อก็เป็นได้
ลองเช็กอาการตัวเองว่ามีอาการข้อไหนบ้างหรือไม่
หากคุณเป็นคนที่มีสาว ๆ คุยด้วยอยู่ตลอด ไปออกเดทบ่อย ไม่เคยโสดจริงเสียที แต่ก็ยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน ลองเช็กตัวเองดูกันหน่อยครับว่ามีพฤติกรรมใดดังต่อไปนี้หรือไม่ แม้ว่าบางคนอาจจะตั้งธงในใจเอาไว้ว่า ยังไม่อยากคบใครเป็นแฟนก็ยังสามารถอ่านต่อไปได้นะครับ เพราะการที่เราตั้งเป้าหมายในความสัมพันธ์เอาไว้ว่าจะยังไม่มีความสัมพันธ์ที่จริงจังก็อาจบ่งบอกถึงความกังวลบางอย่างลึก ๆ ในใจได้เช่นกัน
หลัก ๆ พฤติกรรมของคนที่ อยากคุยแต่ไม่อยากคบ มักประกอบไปด้วย การไม่ชอบระบุสถานะ ไม่ชอบโดนถามว่าระหว่างเราตอนนี้เป็นอะไรกัน ไม่อยากให้ label สถานะที่ชัดเจนว่านี่คือคนคุย นี่คือแฟน นี่คือการเดทแบบเดทคนเดียวและต้องยืนยันว่าไม่มีคนอื่น
ถัดมา บางคนอาจมีความรู้สึกไม่อยากรับผิดชอบเกิดขึ้น อาจจะเป็นไม่อยากรับผิดชอบความรู้สึกของอีกฝ่าย ไม่อยากทำอะไรเพราะแค่ต้องทำตามหน้าที่ หรือไม่ชอบการถูกคาดหวังให้ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ ไม่อยากให้คำมั่นสัญญาใดก็เป็นได้ทั้งนั้น
สุดท้าย บางคนนั้นอาจรักอิสระและไม่ชอบการผูกมัด หากมีการกระทำใดที่สื่อสารถึงความอยากเจ้าข้าวเจ้าของจากฝ่ายหญิงก็อาจทำให้เราตัดสินใจเทหรือถอยห่างจากความสัมพันธ์ไปได้อย่างง่ายดาย หากใครมีอาการบางข้อดังต่อไปนี้ก็ต้องลองเช็กต่อว่า หากเราต้องตกลงปลงใจกับใครจริงจังแล้วเรามีภาวะทางใจเป็นอย่างไร หวาดกลัว วิตกกังวลหรือไม่สบายใจจนไม่เป็นตัวของตัวเองหรือไม่ หากส่งผลต่ออารมณ์มาก ๆ ไม่แน่ว่าเรากำลังเผชิญกับการเป็น Commitment Phobia อยู่ก็เป็นได้
ปรับตัวอย่างไรเพื่อให้สามารถพัฒนาความสัมพันธ์ได้ต่อไป
หลายคนที่ตกอยู่ในสภาวะ อยากคุยแต่ไม่อยากคบ ก็คงจะมีมุมมองแตกต่างกันไป บางคนมองว่านี่ไม่ใช่ปัญหาอะไรเพราะเขายังไม่ได้อยากจะคบใครในเร็ว ๆ นี้อยู่แล้ว แต่หากมองอีกมุมหนึ่ง บางครั้งเราก็เสียโอกาสดี ๆ ในการศึกษาใครสักคนหนึ่งไปเพียงเพราะความกลัวในใจของเราเองที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขครับ และถ้าเราเป็นผู้ชายที่มีแพลนในอนาคตว่าอยากลงหลักปักฐานกับใครสักคนแล้วล่ะก็ การพยายามฮีลจิตใจตัวเองในส่วนนี้ให้ดีขึ้น น่าจะส่งผลดีต่อความสัมพันธ์มากกว่า
โดยจะปรับให้ดีขึ้นได้ ต้องเริ่มจากมีความเข้าใจในตัวเองก่อน ค้นหาว่าสาเหตุอะไรถึงทำให้เรารู้สึกเช่นนี้ ซึ่งขั้นตอนของการทบทวนและยอมรับตัวเองนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายครับ บางครั้งเราอาจจะคิดออกด้วยตัวคนเดียว หรือต้องระบายให้ใครสักคนที่รู้จักเราดีฟังว่าเรากำลังมีความกลัวอะไรอยู่
หลังจากนั้นหากเจอคนที่รู้สึกว่า อยู่ในเกณฑ์ที่เราสามารถพัฒนากับเขาไปได้ ลองให้โอกาสตัวเองดูครับ อย่าเพิ่ง fade อย่าเพิ่งถอยห่าง แม้ว่าจะกังวลเรื่องความคาดหวังหรือกลัวความสัมพันธ์ที่จะจริงจังขึ้นก็ตาม ลอง go with the flow ดู หรือถ้ารู้สึกสนิทใจกับสาวคนที่ชอบมากพอ มี deep conversation ต่อกันค่อนข้างลึกซึ้ง ลองเล่าถึงสาเหตุหรือเรื่องราวความสัมพันธ์ที่ผ่านมาที่ทำให้เรามีความกังวลลึก ๆ อยู่ในใจก็ได้ครับ การสื่อสารกันอย่างตรงไปตรงมาจะช่วยลดระยะห่างในความสัมพันธ์ได้ และเธอก็จะได้รู้ด้วยว่าควรจะวางตัวกับเรายังไงให้ไม่เร่งรัดกันจนเกินไป
สุดท้ายแล้วใครที่ตกอยู่ในอาการ อยากคุยแต่ไม่อยากคบ หรืออยากมีสาว ๆ ให้ไปเดทด้วยแต่ไม่รู้สึกอยากจริงจัง ลองหาเวลาทบทวนตัวเองเพื่อมองทิศทางความสัมพันธ์ในอนาคตดูสักครั้งครับ เพื่อที่เราจะได้ไม่พลาดโอกาสศึกษาคนดี ๆ หรือคนที่รักเราจริงไป