1. หัดเป็นมนุษย์ล่องหนที่ลูกน้องตามตัวได้
นึกภาพในสมัยที่คุณเป็นลูกน้อง คุณมักจะรู้สึกอึดอัดเมื่อต้องทำงานใกล้ชิดหัวหน้าของตัวเองมากๆ และมีความรู้สึกเหมือนถูกจับผิดตลอดเวลา และถ้าวันไหนหัวหน้าไม่อยู่ คุณก็มักจะรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เมื่อคุณได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้า ลูกน้องของคุณก็มีความเป็นไปได้ที่จะรู้สึกแบบนั้นเช่นกัน ดังนั้นถ้าอยากจะเป็นหัวหน้าที่ลูกน้องรักมาก ลองทำตัวเป็นมนุษย์ล่องหนบ้าง คือไม่จำเป็นต้องโผล่หน้าไปให้ลูกน้องเห็นตลอดเวลา แต่เมื่อใดที่ลูกน้องต้องการตามตัวหรือติดต่อคุณ คุณก็สามารถโผล่มาได้ทุกครั้งที่พวกเขาต้องการ แบบนี้จะทำให้ลูกน้องไม่รู้สึกเหมือนโดนหายใจรดต้นคอมากไป และจะชอบคุณมากขึ้นครับ
2. รับคำวิจารณ์ที่สร้างสรรค์ได้
ไม่มีใครที่เพอร์เฟ็คท์สมบูรณ์แบบไปตลอดเวลา ตัวคุณเองในฐานะหัวหน้าก็เช่นกัน ถ้าอยากจะเป็นหัวหน้าที่ดีที่ลูกน้องรัก ลองหัดรับฟังความคิดเห็นและคำวิจารณ์ที่สร้างสรรค์จากลูกน้องให้ได้แบบแมนๆ และพิจารณาปรับแนวทางการทำงานของตัวเองให้ดีขึ้น อย่าทำตัวเป็นเผด็จการที่ใครจะต่อว่าอะไรคุณไม่ได้เลยแม้แต่อย่างเดียว อย่างไรก็ตามข้อสำคัญคือคุณต้องแยกให้ออกด้วยว่าคำวิจารณ์ใดที่สร้างสรรค์และมีประโยชน์กับองค์กรและการทำงานของคุณจริงๆ กับคำวิจารณ์ใดที่แค่เกิดจากอารมณ์โกรธและไม่พอใจเท่านั้น เพื่อให้การปรับตัวนั้นดีต่อองค์กรโดยรวมจริงๆครับ
3. ใครๆก็ชอบของฟรี
ลูกน้องของเราก็ชอบของฟรีเช่นกัน การมอบของขวัญในโอกาสพิเศษ หรือจัดปาร์ตี้เลี้ยงพนักงานบ้างถือเป็นสิ่งที่ดีที่ช่วยบำรุงขวัญกำลังใจของลูกน้องได้อย่างดี เทคนิคสำหรับเรื่องนี้ก็คือ ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นของที่มีมูลค่าราคาแพงๆ หรือปิดโรงแรมหรูเลี้ยงแบบใหญ่โต แต่จงให้สิ่งเหล่านี้ในจังหวะเวลาที่ลูกน้องของคุณ “คาดไม่ถึง” และถ้าจะให้เป็นของขวัญก็ควรจะเป็นของที่แม้จะไม่ได้แพงมาก แต่ค่อนข้างเฉพาะเจาะจงตัวบุคคลที่ให้ ไม่ใช่ให้ทุกคนเหมือนๆกันแบบเดียวกันไปหมด ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความรู้สึกที่พิเศษขึ้นและทำให้ความรู้สึกดีนั้นทวีคูณมากขึ้นกว่าเดิม แม้สิ่งที่ได้รับจะเป็นของเล็กๆน้อยๆก็ตาม
4. ลูกน้องไม่ใช่ลูกหลานในครอบครัวของคุณ
หัวหน้างานบางคนเข้าใจผิดคิดว่าลูกน้องของตัวเองเป็นลูกเป็นหลาน หรือเป็นคนในครอบครัวจนเผลอเข้าไปยุ่มย่ามกับเรื่องส่วนตัวของลูกน้องมากเกินไปโดยที่พวกเขาไม่ได้ร้องขอ รวมถึงการออกปากสั่งสอนลูกน้องในเรื่องจุกจิกเหมือนพวกเขาเป็นลูกของตัวเองจริงๆ การกระทำเหล่านี้จะทำให้ลูกน้องรู้สึกรำคาญคุณมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นแม้คุณจะรู้สึกว่าควรจะสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับลูกน้องมากขนาดไหน แต่คุณต้องไม่ก้าวล่วงเรื่องส่วนตัวของพวกเขามากเกินไปอย่างเด็ดขาด เว้นแต่ลูกน้องจะไว้ใจคุณมากพอจนเป็นฝ่ายขอความเห็นจากคุณก่อนเท่านั้นนะครับ
5. ขอร้องลูกน้องให้ช่วยงานเล็กน้อยบ้างนานๆครั้ง
นี่เป็นเกมส์ทางจิตวิทยาของมนุษย์ กล่าวคือ คนเรามักจะรู้สึกดีและเมื่อได้รู้ว่าตัวเองเป็นที่ต้องการของคนอื่น หรือเป็นคนที่ผู้อื่นรู้สึกว่าสามารถพึ่งพาได้ คนที่เป็นหัวหน้าก็ควรนำหลักการนี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ ลองสังเกตดูว่าลูกน้องของเราแต่ละคนมีความสามารถพิเศษอะไร และถนัดการทำงานอะไรเป็นพิเศษที่นอกเหนือจากงานปกติ และขอความช่วยเหลือจากเขาแบบเล็กๆน้อยๆที่ไม่ซีเรียสและไม่กระทบเวลางาน เช่น ถ้าลูกน้อง 2-3 คนมีความสามารถในการเล่นดนตรีและร้องเพลง ลองจัดงานปาร์ตี้เล็กๆแล้วมีมินิคอนเสิร์ตให้พวกเขาเล่นกัน หรือถ้ามีลูกน้องที่มีความรู้เรื่องไวน์ดี ลองขอให้เขาช่วยเลือกไวน์ดีๆให้คุณสักขวด และอย่าลืมกล่าวชมทุกครั้งที่พวกเขาทำได้ดีด้วยนะครับ แบบนี้จะทำให้ลูกน้องรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่ามากขึ้นและรักคุณมากขึ้นครับ
6. ยืดอกรับผิดชอบและขอโทษอย่างจริงใจเมื่อคุณทำผิดพลาด
ต้องมีสักวันที่คุณอาจทำอะไรที่ผิดพลาดลงไป จนส่งผลเสียต่อองค์กรและลูกน้องใต้บังคับบัญชาของคุณ ซึ่งตัวคุณในฐานะหัวหน้าที่ดีต้องเป็นสุภาพบุรุษมากพอที่จะก้าวออกมารับผิดชอบและขอโทษลูกน้องทุกคนอย่างเป็นทางการ ให้ทุกคนรับรู้ว่าคุณเป็นผู้ชายที่กล้ายืดอกรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตัวเองได้ทำผิดพลาดไป ในความคิดของลูกน้องจะไม่รู้สึกว่าคุณทำงานไม่เก่ง แต่เขากลับจะให้ความเคารพนับถือคุณมากขึ้นกว่าเดิม และมากกว่าการที่คุณจะโบ้ยความรับผิดชอบให้ผู้อื่น และทำให้ตัวเองดูดีตลอดเวลา ดังนั้นโทษคนอื่นให้น้อยลง โทษตัวเองให้มากขึ้น แล้วลูกน้องจะรักมากขึ้นครับ
Source | Entrepreneur