ในช่วงนี้คำว่า #หมดpassion กำลังถูกพูดถึงในหลายแง่ โดยเฉพาะเกี่ยวกับประเด็นเรื่องความรัก ซึ่งบางคนอาจยังไม่เข้าใจถึงความหมายของวลีนี้ว่าอารมณ์ความรู้สึกของที่ #หมดpassion ความจริงแล้วมันจะเป็นอย่างไร MenDetails มีตัวช่วยเป็น 5หนังรักหม่นๆ ที่เมื่อดูแล้ว คุณอาจจะเข้าใจภาวะของการ #หมดpassion ได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมครับ
500 Days of Summer (2009)
ถ้าให้พูดถึงหนังรักที่มีความเจ็บจิ๊ดหัวใจที่สุด หลายๆคนยกให้ 500 Days of Summer ผลงานกำกับของ มาร์ก เวบบ์ (Marc Webb) ที่นำแสดงโดย โจเซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์ (Joseph Gordon-Levitt) และ ซูอี้ เดส์ชาเนล (Zooey Deschanel) บอกเล่าเรื่องราวของ ทอม หนุ่มซื่อผู้เชื่อมั่นในรักแท้แบบหัวปักหัวปำ และ ซัมเมอร์ สาวสวยที่ไม่เคยเชื่อในความรัก ทั้งคู่พบกันในที่ทำงาน ทอม พยายามจีบ ซัมเมอร์ เธอเหมือนจะมีใจ ทว่าช่วงเวลาที่หอมหวานช่างแสนสั้นยิ่งกว่าฤดูร้อน
มันคือภาพยนตร์รักที่ไม่มีความโรแมนติกเอาเสียเลย แต่กลับเต็มไปด้วยมุมมองการเสียดสีเกี่ยวกับเรื่องการรักเขาข้างเดียวของฝ่ายชาย กับฝ่ายหญิงที่ไม่แคร์อะไรทั้งนั้น เธอสามารถคบกับใครแล้วบอกลาได้อย่างง่ายดาย จู่ๆก็หมดความหลงใหลได้ปลื้มไปเสียดื้อๆ แต่ก็อาจวนกลับมาหาฝ่ายชายบ้าง หากเธออกหักหรือถูกทิ้ง แล้วก็พร้อมที่จะผละจากเขาไปหาคนใหม่ทุกเมื่อเช่นกัน ซึ่งในความสัมพันธ์ห่วยๆนี้ คนดูจะได้เรียนรู้ เข้าใจเรื่องความรัก และเติบโตไปพร้อมกับตัวละคร
Blue valentine (2010)
Blue valentine คือภาพยนตร์รักดาร์กๆที่ได้รับความนิยมถึงขั้นมีชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ ผลงานการกำกับและเขียนบทของ เดเร็ค เซียนฟรานซ์ (Derek Cianfrance) ได้ ไรอัน กอสลิ่ง (Ryan Gosling) กับ มิเชล วิลเลี่ยม (Michelle Williams) มารับบทนำ หนังนำเสนอเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและปัจจุบัน ภาพความทรงจำที่แม้จะเลือนรางแต่ชัดเจนในความรู้สึกของ ดีน กับ ซินดี้ คู่สามี-ภรรยา ที่ใช้เวลาหนึ่งคืนภายในห้องเพื่อรักษาชีวิตคู่ ด้วยการนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาหลายปี ตอนที่ชีวิตยังเปี่ยมไปด้วยความหวัง
Blue valentine พยายามนำเสนอเรื่องราวที่แสนหวานในวันเก่าๆ แต่ก็ถ่ายทอดแง่คิดที่ชัดเจนว่า ความรักมีปัจจัยและตัวแปรอื่นๆอีกมากมายที่เข้ามากระทบและเป็นอุปสรรคในชีวิตคู่ ไม่ใช่ว่าแค่คบกันคนหล่อสวยนิสัยดี รักกันดูดดื่ม แล้วรักของคุณจะไปรอด เมื่อผ่านช่วงเวลาทั้งดี-ร้ายมาระยะหนึ่ง คนสองคนจะมีสายตาต่อคนรักที่อยู่ตรงหน้าเปลี่ยนไป ซึ่งไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่แสนดีขนาดไหน อยู่มาวันหนึ่งคนรักของคุณก็อาจขอเลิกได้ โดยที่เขาหรือเธออาจไม่สามารถบอกเหตุผลที่แท้จริงได้ด้วยซํ้า ภาพยนตร์เรื่องนี้นอกจากบทจะดีแล้ว นักแสดงนำทั้ง 2 คนยังเล่นได้ยอดเยี่ยมมากๆ เลยทีเดียว
Come Rain, Come Shine (2011)
Come Rain Come Shine เป็นหนังรักซึมๆเคล้าสายฝนของผู้กำกับ ลียุนกิ (Lee Yoon-ki) ที่พ่วงหน้าที่เขียนบทซึ่งดัดแปลงมาจากเรื่องสั้นของญี่ปุ่น นำแสดงโดย ฮยอนบิน (Hyun Bin) และ อิมซูจอง (Lim Soo-jung) บอกเล่าเรื่องราวของ คู่สามีภรรยาที่ตัดสินใจจบความสัมพันธ์ 5 ปี โดยฝ่ายหญิงบอกเลิกกับฝ่ายชาย และให้เหตุผลว่าเธอต้องการจะไปจากชีวิตเขาเพราะเธอมีคนใหม่แล้ว ส่วนฝ่ายชายหนุ่ม ผู้เงียบขรึมก็ยอมรับเรื่องดังกล่าวอย่างเย็นชา ทว่าระหว่างกำลังเก็บของเพื่อแยกย้าย จู่ๆสายฝนก็เทกระหน่ำลงมาหลายชั่วโมง ทำให้พวกเขาต้องติดอยู่ในบ้านด้วยกัน
หนังเต็มไปด้วยบรรยากาศอึมครึมชวนอึดอัดในช่วงต้นเรื่อง กับสภาพของคน #หมดpassion สองคน ก่อนที่สถานการณ์จะค่อยๆคลี่คลายขึ้นทีละนิด เราเชื่อว่าเรื่องราวในหนังเป็นประสบการณ์ที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยพบ เมื่ออดีตคนรักที่ไม่อยากเห็นหน้ากันอีกต่อไปจำใจต้องใช้เวลาช่วงสุดท้ายของชีวิตคู่ด้วยกัน แต่หนังก็พยายามเสนอแง่มุมที่ดีๆ จากบทสนทนา สิ่งของที่ทั้งสองคนพบเจอในบ้าน และเจ้าแมวสุดน่ารักที่หลงเข้ามา จนวูบหนึ่งคนดูอย่างเราก็แอบลุ้นว่าจะมีใครเปลี่ยนใจ กลับมาง้อขอโอกาสคืนดีกันอีกสักครั้งหรือไม่?
Lost in Translation (2003)
Lost in Translation ภาพยนตร์ของคนเหงาแห่งปี 2003 ผลงานของยอดผู้กำกับ โซเฟีย คอปโปลา (Sophia Coppola) นำแสดงโดย บิล เมอร์เรย์ (Bill Murrey) กับ สการ์เลตต์ โจแฮนส์สัน (Scarlett Johanssons) เรื่องราวของ บ็อบ แฮร์ริส นักแสดงตกอับชาวอเมริกันที่ไปรับงานถ่ายโฆษณาที่ญี่ปุ่น แล้วหลังจากเสร็จจากงานในแต่ละวันเขาก็มักจะไปนั่งดื่มที่บาร์ในโรงแรมอย่างเป็นประจำ จนกระทั่งได้พบกับ ชาร์ล็อต สาวนักปรัชญาที่ตามแฟนหนุ่มช่างภาพมาทำงานในญี่ปุ่น และสิ่งที่เกิดขึ้นกับทั้งคู่ก็คือความเหงา แม้แต่ละฝ่ายจะมีคู่อยู่แล้วก็ตาม แต่สิ่งที่พวกเขาขาดไปก็คือ เพื่อน
Lost in Translation ไม่ได้นำเสนอเฉพาะประเด็น คนเหงาในต่างแดน แต่ยังพูดถึงวิกฤติวัยกลางคนของ บ็อบ ที่พาลจะเบื่อไปทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การงาน ผู้คน ไปจนถึง ชีวิตคู่ แม้ว่าเขาจะได้มาอยู่ในเมืองที่เต็มไปด้วยเสน่ห์อย่างกรุงโตเกียว ซึ่งต้องมาดูกันว่า บ็อบ จะจัดการกับปัญหานี้อย่างไร เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ของเขากับ ชาร์ล็อต ที่ดูเหมือนจะมี ‘Something wrong’ และสองหนุ่มสาวต่างวัยต้องตัดสินใจว่าจะเอายังไงกับชีวิตของพวกเขาดี
45 Years (2015)
45 Years ผลงานการกำกับของ แอนดรูว์ เฮดจ์ (Andrew Haigh) จากซีรี่ย์ Looking ที่ได้ดารารุ่นใหญ่ ชาร์ลอตต์ แลมปลิงก์ (Charlotte Rampling) และ ทอม คอร์ตเทอเนย์ (Tom Courtenay) มารับบทนำ หนังบอกเล่าเรื่องราว 1 สัปดาห์ก่อนงานฉลองครบรอบชีวิตสมรสปีที่ 45 ของ เจฟฟ์ กับ เคท ทว่าพวกเขาต้องเจอบทพิสูจน์ความรักครั้งสำคัญเมื่อฝ่ายสามี ได้รับจดหมายว่าพบศพ แฟนเก่า ที่หายสาบสูญไปกว่า 4ทศวรรษก่อนในภูเขาน้ำแข็ง การปรากฏตัวของอดีตอันแสนเจ็บปวดทำให้ความสัมพันธ์ของสามีและภรรยาคู่นี้ต้องสั่นคลอน เมื่อฝ่ายชายคิดคำนึงถึงรักเก่า และฝ่ายหญิงสงสัยว่าเธอรู้อาจจะไม่รู้จักชายที่เธอแต่งงานมาด้วยกว่าครึ่งชีวิต
ภาพยนตร์เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า บางทีรักแท้อาจแพ้อดีต และ ช่วงเวลาชีวิตคู่ยาวนานหลายสิบปีจนแก่เฒ่า เป็นที่อิจฉาและชื่นชมของคนรอบข้าง ก็ไม่ได้การันตีว่าพวกเขาจะรักกันมากขึ้นหรือเหมือนเดิม เมื่อมีเหตุการณ์สำคัญมากระทบ ขณะที่ฝ่ายหนึ่งไม่ลืม อีกฝ่ายก็เต็มไปด้วยความหวาดระแวง เมื่อต่างไม่อาจปล่อยวางด้วยกันทั้งคู่ จากความจืดจาง เหนื่อยหน่าย เลยกลายเป็นความบาดหมาง ขัดแย้ง สุดท้าย เจฟฟ์ และ เคท ในวัยไม้ใกล้ฝั่งจึงกลับไปหึงหวงกันแบบหนุ่มสาวอีกครั้ง แต่สิ่งที่น่าห่วงคือครั้งนี้พวกเขาอาจ #หมดpassion จนไม่ได้มีความรู้สึกอยากที่จะกลับไปดีกันอีกต่อไป
หวังว่าเมื่อดูหนังในลิสต์ด้านบนจบแล้ว จะช่วยทำให้คุณเห็นมุมมองที่มีต่อความรักได้หลากหลาย และ ชัดเจนมากยิ่งขึ้น รวมถึงเข้าใจความหมายของคำว่า #หมดpassion มากกว่าเดิม ซึ่งในเรื่องของความรัก เป็นเรื่องของคนสองคน ไม่มีถูก ไม่มีผิด แต่หากมีความเข้าใจให้กัน ความรักอาจจบลงอย่างสวยงาม ขณะที่ความสัมพันธ์หรือมิตรภาพของคนสองคนก็ไม่จำเป็นต้องพังทลาย มันสามารถคงอยู่ต่อไปอย่างงดงาม ในฐานะอื่นๆได้เช่นกัน